อ่านแล้วเล่า

เยือกเย็น

เรื่อง เยือกเย็น
ผู้แต่ง ท์ซึจิ ฮิโตนาริ
ผู้แปล สมเกียรติ เชวงกิจวณิช
สำนักพิมพ์ JBOOK
(สำนักพิมพ์ในเครือ bliss)
เลขมาตรฐานหนังสือ 9749074483

รีวิวเล่มนี้ เราสปอยล์เนื้อหาจากเล่ม ร้อนแรง rosso นะคะ

ทีแรกก่อนที่เราจะเริ่มอ่านนิยายชุดนี้
เราเข้าใจ (ไปเอง) ว่า หนังสือเล่าเรื่องราวเดียวกัน
ผ่านมุมมองของฝ่ายชาย และฝ่ายหญิง
แต่ในความเป็นจริง มันไม่เชิงอย่างนั้น
เพราะทั้งจุนเซ และอาโออิ ต่างก็อยู่กันคนละสถานที่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทั้งสองเล่มจึงเป็นคนละเหตุการณ์
ทั้งสองคนผูกพันกันด้วยเหตุการณ์ในอดีตวัยนักศึกษาเท่านั้น

เมื่อทั้งสองคนเลิกกัน ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปมีวิถีชีวิตของตัวเอง
ต่างฝ่ายต่างก็มีรักครั้งใหม่ (พอจะเรียกแบบนั้นได้เนอะ)
อาโออิมีมาร์ฟ ในขณะที่จุนเซก็มีเมมิ

จุนเซปฏิบัติต่อเมมิเช่นเดียวกับที่อาโออิทำต่อมาร์ฟ
เขาใช้เธอเป็นเครื่องมือเพื่อให้ลืมอาโออิ
พระเอกนางเอกคู่นี้เหมาะสมกันจริงๆ -”-
แม้เมมิจะดูน่ารำคาญ แต่ก็น่าสงสารด้วย
เหมือนถูกหมอเลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีโอกาสหาย แต่ก็ไม่ยอมบอกกันตรงๆ

เพราะว่าเราอ่าน rosso มาก่อน เลยทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับอาโออิ
เมื่อมาอ่าน blu ได้เห็นการกระทำประหลาดๆ บางอย่างของจุนเซ
ซึ่งถ้าอ่านเล่มนี้ก่อน ก็คงจะผ่านๆ ไป ไม่สะดุดใจอะไร
แต่พอรู้เรื่องมาก่อนแล้ว มันเลยซึมซับ และเข้าใจ การกระทำหลายๆ อย่างของเขา
มันอิน มันเศร้า

การเล่าเรื่องทำได้ดีกว่าเล่ม rosso
ดูมีเรื่องราว มีที่มาที่ไป อ่านง่ายกว่าการดำเนินเรื่องไปแบบเนิบๆ
และปล่อยให้เราจับใจความเอาเองแบบ rosso
แต่ยากจะอธิบายจริงๆ
ไม่รู้ทำไมเรากลับรู้สึกว่าชอบเล่ม rosso มากกว่า
ความจริงเล่มนี้ก็อาจมีส่วนทำให้เราชอบเล่มนั้นนะ
มันช่วยต่อยอด ช่วยเติมเต็มความรู้สึก
ดูขี้โกงหน่อยๆ แต่มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ

มุกประมาณว่าสัญญากันไว้ว่าจะกลับมาเจอกันเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี
แม้จะซ้ำ แต่ก็ยังใช้ได้อยู่นะ
ตอนอ่าน rosso เราไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร
แต่ในเล่ม blu นี้ พระเอกย้ำคิดย้ำทำกว่ามาก
ผู้เขียนขยันขยี้มาก ..

เมื่อครั้งที่ทั้งสองคนยังคบกันอยู่
อาโออิคือผู้ที่เป็นฝ่าย ‘ยอม’ เป็นฝ่าย ‘เยือกเย็น’
ในวันที่เธอไม่ยอม .. คือวันสุดท้ายในชีวิตคู่ระหว่างเขาและเธอ
เมื่อเธอมาคบกับมาร์ฟ มาร์ฟรับบทบาท ‘ยอม’ นั้นไปแทน
และในวันที่เขาทวงสิทธิ์ของคู่รัก
วันนั้นคืออีกครั้งที่ความรักครั้งใหม่นี้ต้องล่มลง

จุนเซ เป็นตัวแทนแห่งความร้อนรุ่ม รุนแรง
เมื่อเลิกกับอาโออิ เขาได้พบ และคบกับเมมิ
สำหรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ เมมิเป็นฝ่ายที่ร้อนแรง ขี้โมโห
เธอเป็นฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่า ในความรักครั้งนี้

มันเหมือนว่าในความรักถัดมา จุนเซ และอาโออิได้สลับบทบาทกัน
เหมือนได้ลองรับบทของอีกฝ่าย ได้เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย?

ตอนต้นเรื่อง เหมือนผู้เขียนจะปูคอนเซ็ปต์มาให้เข้าใจอย่างนั้น
แต่เอาเข้าจริงๆ เรามองไม่เห็นทั้งความร้อนแรงของจุนเซ และความเยือกเย็นของอาโออิ
บางที บุคลิกของตัวละคร อาจจะบิดไปจากตอนที่วางโครงเรื่องกันไว้แต่แรก
ชื่อเรื่องก็เลยดูจะไม่เข้ากับเนื้อเรื่องสักเท่าไร?

สถานที่สำหรับในเล่มนี้ เกิดขึ้นที่อิตาลีเช่นกัน
แต่เป็นฟลอเรนซ์ ไม่ใช่มิลาน
ใกล้เพียงนิดเดียว แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่เคยเฉียดกรายมาใกล้กัน
ต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกคน อยู่ ณ ที่ไกลแสนไกล

ความสัมพันธ์อันค้างคานี้
ชวนให้นึกถึงคู่ของดากานดากับไข่ย้อยอยู่เหมือนกันนะ
แม้จะมีที่มาที่ไปคนละอย่าง
แต่บรรยากาศความห่างไกล และหวนหากัน ก็ให้ความรู้สึกประมาณนี้

ตอนอ่าน เราชอบช่วงที่ผู้เขียนเล่าถึงกรรมวิธีการซ่อมภาพของจุนเซ
ชอบการหลอมรวมวิญญาณของช่างซ่อมภาพ ให้เข้ากับจิตวิญญาณของจิตรกรที่ใส่ลงมาในภาพนั้น
ภาษาสวย ให้ความรู้สึกที่ดี อ่านแล้วอิน
รู้สึกว่าตัวเองอาร์ตขึ้นอีก 5%

บ่นแกล้มสปอยล์

เคยได้ยินมาว่า ในคำขอโทษของมนุษย์
บางครั้งไม่ได้ต้องการทำให้ผู้รับคำขอโทษรู้สึกดีขึ้น
แต่เป็นการทำเพื่อให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
จดหมายขอโทษของจุนเซ ไม่ได้ต้องการให้อาโออิสบายใจ
จากการรับรู้ของจุนเซ เธอผ่านพ้นความทุกข์นั้นมาแล้ว
และกำลังมีชีวิตใหม่ที่เปี่ยมสุขกับคนรักชาวอเมริกัน
จดหมายฉบับนั้น มีหน้าที่ไปปลุกปีศาจในอดีตที่เธอต้องการจะลืมเลือน
มองในมุมนี้ จดหมายฉบับนั้นไม่มีคุณค่าต่ออาโออิเลย
มันเป็นคุณต่อจุนเซมากกว่า
เขาได้รับบทพ่อพระ ผู้ที่สำนึกผิด และแสดงความสำนึกผิดให้เธอรับรู้ และให้อภัยต่อเขา

นึกๆ ดูแล้ว จุนเซก็เป็นตัวละครที่ไม่น่ารักเสียยิ่งกว่าอาโออิเสียอีก
ถ้าเป็นเรา เราคงจะเลิกรักตัวละครแบบนี้ได้ไม่ยาก
แต่ความรักไม่ใช่รื่องของสมอง มันเป็นเรื่องของหัวใจ
และบางครั้ง หัวใจก็ไร้เหตุผล .. แบบนี้แหละ

นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราชอบ rosso มากกว่าด้วย

Comments are closed.