อ่านแล้วเล่า

เวลาอาทิตย์ตก

เรื่อง เวลาอาทิตย์ตก
ผู้แต่ง มินะโตะ คะนะเอะ
ผู้แปล หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว
สำนักพิมพ์ แพรวสำนักพิมพ์
เลขมาตรฐานหนังสือ 9786161840686

ฮาเซเบะ คาโอริ ถูกแม่เคี่ยวเข็ญเรื่องการเรียนมาตั้งแต่อนุบาล
เมื่อทำโจทย์ได้ไม่ดีพอ เธอจะถูกไล่ออกมายืนที่ระเบียง
แม่ล็อกประตูกระจกจากข้างใน ซ้ำยังปิดม่านเอาไว้ด้วย
ไม่ว่าวันนั้น อากาศจะเลวร้ายอย่างไรก็ตาม
แม่จะขังเธอเอาไว้ข้างนอกราวๆ หนึ่งชั่วโมง
จากนั้นจึงเปิดประตูกระจกให้เธอก่อนพ่อกลับ

เธอต้องอยู่บนพื้นที่แคบๆ มองออกไปเวิ้งว้าง
บางวันฝนตก และบางวันอุณหภูมิเป็นศูนย์ ..
ไม่เคยมีข้อยกเว้น
เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดซ้ำสัปดาห์ละหน หรือสองหน ..

และในวันที่หิมะตกบางๆ นี่เอง ที่เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
เพราะอากาศหนาว เธอจึงพยายามไปหาพื้นที่อบอุ่นหลบลมหนาว
ตรงช่องว่างระหว่างคอมเพรสเซอร์แอร์ กับแผงกั้นแบ่งอาณาเขตสองห้อง
ระหว่างที่เธอแทรกซุกตัวอยู่ตรงนั้น ..
ตอนที่สายตามองลอดช่องว่างระหว่างแผงกั้นไปที่ห้องข้างๆ
เธอได้เห็นมือซีดๆ ข้างหนึ่งวางอยู่ตรงนั้น
เป็นมือขนาดเล็กพอๆ กับเธอ และมันกำลังสั่นกลัว
แม้ว่าจะตกใจ แต่เธอก็ไม่ได้คิดว่าเป็นผี
เธอก็ไม่กล้าแตะต้องมือนั้น เพราะกลัวอีกฝ่ายตกใจ
ความรู้สึกอยากปลอบประโลมเพื่อนร่วมชะตากรรม
ทำให้เธอเคาะนิ้วเบาๆ เพื่อสื่อสารการมีตัวตนอยู่ข้างๆ
ความผูกพันผ่านมือที่ไม่รู้จัก เกิดขึ้นที่ตรงนั้น

หลังจากวันนั้น เธอเฝ้ารอที่จะถูกทำโทษให้ออกไปที่ระเบียง
เพื่อจะได้พบกันอีก

แล้วในวันหนึ่ง เธอก็ได้พบกับเด็กหญิงคนนั้น .. ทาเทอิชิ ซาระ
ซาระมากับแม่ของเธอ และคาโอริก็มากับแม่ของตัวเอง
พวกเธอเจอกันในร้านซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน
แม่ของทั้งสองฝ่ายทักทายกัน
ซาระแต่งตัวสวย สดใส และน่ารักกว่าที่วาดภาพไว้
แต่ถึงอย่างนั้น คาโอริก็ไม่กล้าทักเธอเรื่องที่ระเบียง

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน คาโอริมีเหตุจำเป็นให้ต้องย้ายบ้านกะทันหัน
เธอจากไปโดยที่ไม่ได้ร่ำลาเพื่อนที่ระเบียง
แต่ก็ไม่เคยลืมความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในวัยอนุบาล
จวบจนกระทั่งเธอเติบโต

ไค มะฮิโระ เป็นผู้หญิงอีกคน ที่เป็นตัวละครสำคัญของเรื่องนี้
เธอเป็นนักเขียนบทที่มีนามแฝงว่า ไค ชิฮิโระ
เธอกำลังอยู่ในช่วงฝึกฝนและเรียนงาน
อยู่กับนักเขียนบทชื่อดัง นาม โอฮาตะ ริงโกะ
เมื่อถึงจุดหนึ่ง งานเขียนบทของเธอดูจะไม่ก้าวหน้า
ระหว่างที่กำลังถูกกดดันและลังเลว่าจะทำต่อหรือกลับบ้านเกิด
เธอก็ได้รับการติดต่อจากผู้กำกับมือรางวัล ฮาเซเบะ คาโอริ

คาโอริ ต้องการจะทำภาพยนตร์สารคดี
เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมยกครัว ที่เกิดขึ้นที่บ้านเกิดของเธอ
มันเป็นคดีฆาตกรรมที่ไม่ได้โด่งดัง จับตัวฆาตกรได้ในทันที
และเกือบจะถูกลืมไปแล้ว
แต่คดีนั้น มันคือคดีฆาตกรรมของครอบครัวซาระ
เป็นคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจากคนในครอบครัว .. ทาเทอิชิ ริคิโตะ
เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนที่ซาระอายุ 18 ปี
ทุกคนยกเว้นฆาตกร ตายในที่เกิดเหตุ
จำเลยยอมรับ และสารภาพทุกอย่าง
คำตัดสินของศาลเป็นที่สิ้นสุด .. ประหารชีวิต

มองเผินๆ นี่คือคดีธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในประเทศญี่ปุ่น
(และเกิดขึ้นมากมายในนิยายของ มินะโตะ คะนะเอะ ;P)
แต่เมื่อคุณผู้กำกับต้องการจะทำ เธอจึงตัดสินใจที่จะเขียนบทให้
ซึ่งมันอาจจะเป็นการสู้ครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถอดใจกลับบ้านเกิด

ในระหว่างหาข้อมูลเพื่อเขียนบทนี่เอง
เรื่องราวในชีวิตของทั้งคาโอริ และมะฮิโระ
รวมไปถึงคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงค่อยๆ ถูกคลี่คลายออกมา

เรื่องถูกเล่าสลับไปมาระหว่างสองตัวละคร
โดยเรื่องเล่าของคาโอริ เป็นเรื่องเล่าที่เริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็ก
นับจากวันที่เธอย้ายบ้าน
ชีวิตของเธอยังพบเจอเรื่องร้ายๆ อยู่บ้าง
แต่เธอก็มีกำลังใจทุกครั้ง เวลาที่นึกถึงความอบอุ่นที่ปลายนิ้ว
ของคนที่เคยนั่งข้างๆ กันที่ระเบียง

ในขณะที่เรื่องราวของมะฮิโระ
ก็เป็นเรื่องราวการสืบหาตัวตนของทั้งซาระผู้ตาย และริคิโตะที่เป็นฆาตกร

เล่มนี้เล่าเรื่องสนุกดี
ในตอนเริ่มต้น ให้ความรู้สึกไม่กดดัน หนักหน่วง เท่าเล่มอื่นๆ
ผู้เขียนเปิดเรื่องด้วยปมสั้นๆ แล้วตัดมาตอนโตเลย
แล้วให้เราค่อยๆ ขุดคุ้ยหาประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร
และสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
เล่มนี้มีความเป็นนิยายมากกว่า
และเชื่อมโยงกับชีวิตเราได้ยากกว่า
ความรู้สึกมันเลยไม่ได้กดดันใกล้ชิดเท่า เล่มก่อนหน้า

เราชอบพล็อตของเรื่องนี้มาก
ผู้เขียนวางลำดับเหตุการณ์ซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่า
แล้วค่อยๆ ลอกเปลือกออก ให้เรามองเห็นทีละส่วน
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
เป็นเรื่องที่ถูกเล่าจากคนในพื้นที่
หรือเป็นเรื่องที่ถูกถ่ายทอดออกไปโดยสื่อ
สิ่งไหนคือความจริงกันแน่
และความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นคืออะไร

ผู้เขียนเก็บรายละเอียด ตัวตน มุมมองตัวละครได้ชัดเจนดี
ทำให้เราเห็นคนคนหนึ่งได้รอบด้าน มีมิติ
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังเคลียร์ทุกประเด็นที่เคยคลุมเครือ คลางแคลง
หลังจากผ่าน ชดใช้ และ แตกสลาย ไปแล้ว
เราอยากใช้คำว่า “ดีต่อใจ” กับตอนจบของเล่มนี้เลยด้วยซ้ำ >,<

มีหลายอย่างในหนังสือเล่มนี้ที่เราชอบ
ที่ชอบที่สุด น่าจะเป็นการสรุปเรื่องราวทั้งหมด
ผ่านบทคัดย่อบทภาพยนตร์ในตอนท้ายเรื่อง
เราชอบบทที่มะฮิโระเขียน ถ้ามันถูกทำเป็นภาพยนตร์จริงๆ
ก็คงจะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างความประทับใจให้เรามาก
มันสรุปทุกประเด็นที่ควรจบ ไม่ค้างคา
จบด้วยความหวัง ความสวยงาม
หากแต่ก็ไม่หลุดไปจากพื้นฐานความเป็นจริง
ไม่ได้โลกสวยจนเกินจะเชื่อ
ทุกอย่างลงตัว พอดิบพอดี
ดีงามตั้งแต่ต้นจนจบ
ควรค่าแก่การอ่านค่ะ 🙂

Comments are closed.