หนึ่งฟ้าดินเดียว
เรื่อง หนึ่งฟ้าดินเดียว
ผู้แต่ง กฤษณา อโศกสิน
สำนักพิมพ์ เพื่อนดี
ราคา 360 บาท
(สองย่อหน้าแรกสปอยล์ตอนท้ายของเวียงแว่นฟ้านิดนะคะ)
ในตอนท้ายของเรื่องยิ่งน้ำเน่าเข้าไปกันใหญ่
และไม่อยากจะบอกเลยว่า มันมาสนุกเอาตอนน้ำเน่าได้ที่นี่เอง
เรื่อยๆ มาทั้งเล่ม มาสนุกเอาตอนใกล้จะจบนี่แหละ
ในตอนท้ายของเวียงแว่นฟ้า เมืองรามตามไปชิงบัวบุรีคืนมาจากเจ้าม่อนฟ้า
ที่ชายแดนเมืองนายติดเมืองหมอกใหม่
แต่กลับพลาดพลั้งถูกเจ้าม่อนฟ้าลอบแทงทีเผลอ ทำให้บาดเจ็บปางตาย
เมืองรามกลับรอดชีวิตด้วยการช่วยเหลือจากทหารของเมืองหมอกใหม่
ผู้ยึดทั้งอาวุธและเงิน แล้วตั้งใจฝึกให้เขาเป็นทหารเพื่อเกณฑ์ไปรบกับเชียงใหม่
เมืองหมอกใหม่ในครานั้น ปกครองด้วยเจ้าโกหล่าน ชายผู้สับปลับเชื่อถือไม่ได้
บ้างก็สวามิภักดิ์กับเมืองนาย (เมืองของลุงของเจ้าม่อนฟ้า)
บ้างก็สวามิภักดิ์กับเมืองเชียงใหม่ (เมืองที่มีบุญคุณต่อเมืองราม)
แต่เจ้าโกหล่านก็ไม่เคยภักดีต่อใครจริง มักหาโอกาสลอบตีแบบกองโจรเรื่อยมา
เมืองรามจะต้องอยู่ใต้อำนาจของคนอย่างโกหล่าน ก็น่าคลางแคลงใจว่าผู้เขียน –
จะรังสรรค์ชีวิตของชายหนุ่มผู้แสนดี แสนซื่อ (บื้อ .. ในด้านความรัก)
ให้ไปจบตรงที่ใด เพราะฉะนั้น มาตามอ่านหนึ่งฟ้าด้าวเดียวต่อด้วยกันค่ะ
สำหรับในเล่มหนึ่งฟ้าดินเดียว ..
ปัญหาพิพาทเรื่องป่าไม้ยังคงตามมาเป็นปัญหาสำคัญของเชียงใหม่
ในสมัยของเจ้าหลวงองค์ใหม่ (เจ้าหลวงองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน ..
เจ้าบุรีรัตน์จากเรื่องเดิม เทียบได้กับเจ้าพระเจ้าอินทวิชยานนท์ตามประวัติศาสตร์)
เจ้าหลวงองค์ใหม่นี้มิได้มีท่าทีแข็งกร้าวเช่นเจ้าหลวงองค์เดิม
ทรงมีจิตใจเมตตา แต่ก็ไม่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ไม่โปรดการสู้รบหรือพิพาท
ในส่วนของตัวละครที่เป็นข้ารับใช้ ..
ห้าปีผ่านไป เปิดเรื่องมาแบบงงๆ เมืองรามกลับมารับใช้เจ้าเชียงใหม่ได้ไงไม่รู้
ผู้เขียนอธิบายในภายหลังว่าเมืองรามหลบลี้จากกองทัพทหารเมืองหมอกใหม่
ในครั้งที่พวกเขายกพลมาที่ชายแดนเวียงเชียงใหม่
เมื่อมาอยู่กับเจ้านายเก่า เมืองรามก็รับใช้ถวายหัว ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนเดิม
เจ้านายจึงเห็นความดีความชอบ มอบตำแหน่งผู้ดูแลนาหลวงให้
ในระหว่างนั้นเอง เมืองรามจึงมีโอกาสได้พบและรู้จักกับเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
เจ้าหญิงระยับเนตร เป็นบุตรีของเจ้าน้อยสิงห์
บุตรชายของเจ้าน้อยอภิรุม พระญาติเจ้าหลวงพระองค์ก่อน
กับหม่อมเสลาหม่อมชาวลำพูน
เมื่อแรกอ่าน เรามองว่านางเอกเรื่องนี้เข้าท่ากว่าเล่มก่อน
เจ้าหญิงระยับเนตรเป็นเจ้าหญิงแสบซ่า แก่นเซี้ยว เอาแต่ใจ น่ารัก
แต่พออ่านไป อ่านไป .. นางเอกเรื่องนี้นางเยอะจริงๆ
เจ้าหญิงองค์นี้งามนัก (แต่คงไม่เท่าอีรี่ นางเอกคนก่อน)
ในช่วงต้นเรื่อง เมืองรามจำต้องติดตามคณะเจ้าไปสำรวจเมืองเชียงแสน
ด้วยว่าในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระประสงค์ให้แปงเมืองร้างให้กลายเป็นรัฐกันชน
คั่นระหว่างเมืองในปกครองของม่าน และเมืองในปกครองของสยาม
เจ้าหลวงจึงให้เริ่มต้นด้วยการยกพลไปขับม่าน เงี้ยว ลื้อ เขิน
ที่เข้ามาตั้งรกราก ตั้งกองโจร ฯลฯ ให้ออกไปเสียก่อน
เจ้าหญิงระยับเนตรก็ร้องตามเจ้าน้อยสิงห์ผู้เป็นบิดาไปด้วย
เมืองรามได้รับหน้าที่ให้ดูแลพระญาติพระองค์นี้
จึงได้ใกล้ชิดเห็นฤทธิ์เดชเจ้าหญิงระยับเนตรเต็มๆ
ในช่วงต้น เจ้าหญิงดูถูกเมืองรามว่าต่ำต้อยกว่า
สร้างความน้อยใจในหัวใจเมืองรามนัก
ในระหว่างการเดินทาง ก็ยิ่งเกลียดหน้า หาทางแกล้งสารพัด
ในระหว่างการเดินทาง ผู้เขียนใส่บทสนทนาของสองพ่อลูก
บอกเล่าประวัติศาสตร์และตำนานล้านนาตั้งแต่การสร้างกรุงก่อนสมัยพญามังราย
เรื่อยมาจนเชียงใหม่ตกเป็นของม่าน (พม่า) กว่าสองร้อยปี
ระหว่างนั้นก็ถูกเกณฑ์ให้ไปรบกับอยุธยาบ้าง ถูกอยุธยายกทัพมาตีบ้าง ฯลฯ
เล่าด้วยภาษากระชับ เข้าใจง่ายแบบพ่อเล่านิทานให้ลูกฟัง
(บางครั้งเมืองรามก็ถูกแกล้งให้เล่าบ้าง
ยิ่งเล่าจึงยิ่งพบว่าแท้จริงแล้วเมืองรามฉลาดเฉลียว และรู้อะไรๆ หลายอย่าง)
เป็นกุศโลบายของผู้เขียนที่นอกจากเจ้าหญิงระยับเนตรจะได้รู้ประวัติศาสตร์ที่ย่อยง่ายแล้ว
ผู้อ่านเองก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ;P
(แต่บางทีก็จำไม่หมดนะ ผู้เขียนจัดชุดใหญ่มาเลย รายละเอียดเยอะ
ชื่อเจ้าแต่ละองค์ แต่ละยุคยาวและเยอะมาก)
บทสนทนาของตัวละครเหล่านี้ไพเราะอ่อนหวานมีชั้นเชิง
มีการยกสุภาษิต ยกค่าว (บทกลอน) เพราะๆ มาแทรกไว้เสมอๆ
การเดินทางไปขับม่านในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนของเจ้าหญิงแล้ว
ยังเป็นการเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างเมืองรามและเจ้าหญิงไปในตัวด้วย
แม้จะเป็นความใกล้ชิดที่ต่างฝ่ายต่างยังมึนตึงใส่กันก็ตามที
ระหว่างการเดินทางนี่เอง
ขบวนทัพของเชียงใหม่ก็บังเอิญได้พบปะกับขบวนของเจ้าม่อนฟ้าและบัวบุรีด้วย
บัดนี้เจ้าม่อนฟ้าและอี่รีมีบุตรและบุตรด้วยกันอย่างละหนึ่ง ชื่อมาวฟ้ากับบัวฟ้า
โผล่มาอัพสเตตัสพอให้หายคิดถึงแล้วก็ลากันไป
และแล้วเมื่อกลับจากเชียงแสน เจ้าหญิงก็เริ่มรู้ตัวว่าตกหลุมรักเมืองรามเข้าแล้ว
ตอนป่วนก็ป่วนชาวบ้านเอาไว้เสียเยอะ แกล้งป่วย เอาแต่ใจสารพัด
พอเปลี่ยนมาตกหลุมรักพระเอก ก็กลับสงสารที่พระเอกทำงานหนัก
(ส่วนหนึ่งก็งานนางสร้างไว้ทั้งนั้น) ถึงกับน้ำตาตก .. อารมณ์สุดแปรปรวน
เจ้าหญิงป่วยทั้งเรื่อง ขัดอกขัดใจก็ทำฤทธิ์แกล้งป่วยให้คนป่วน
พระนางสวยหล่อเลือกได้กันทั้งคู่
ต่างฝ่ายก็ต่างปฏิเสธหนุ่มสาวที่หมายปองตนกันไปมากมาย
สุดท้ายต่างก็มารู้ใจตัวเองว่ารักกัน
เป็นรักต่างชนชั้น ..
รักแรกของเมืองรามเต็มไปด้วยอุปสรรค์แล้ว รักที่สองก็ยังมิวายมีอุปสรรคอีก
ความรักของเขาช่างยากลำบากและเต็มไปด้วยขวากหนาม
(และคาดว่าหลังจากกินแขกแต่งงานกันไปแล้วก็น่าจะยังลำบาก
ด้วยเจ้าหญิงระยับเนตรเอาแต่ใจตนถึงขนาด)
เมื่อกลับมา เจ้าหญิงระยับเนตรก็ทำฤทธิ์ให้เมืองรามได้มาสอนหนังสือตน
เมืองรามมาสอนหนังสือเจ้าหญิงระยับเนตรทุกวัน ความสัมพันธ์ก็ยิ่งแน่นแฟ้นทบทวี
ยิ่งรู้ว่ารักก็ยิ่งอึดอัดใจ หาทางออกไม่ได้
ในตอนนี้เอง เจ้าหญิงระยับเนตรได้เปลี่ยนร่าง
จากเจ้าหญิงจอมแก่นสุดป่วนชวนปวดหัว
กลับกลายเป็นเจ้าหญิงผู้ใฝ่รู้ช่างซัก ช่างถาม น่าเอ็นดู
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าหญิง ‘เยอะ’ ไปหรือเปล่า
อ่านแล้วเลยไม่ค่อยอินเหมือนตอนที่เมืองรามรักกับอี่รีในเล่มก่อนเลย
แล้วก็ตามคาด ฝีมือระดับเจ้าหญิงระยับเนตร ก็สามารถดื้อดึง
ดึงตัวเองลงมาแต่งงานกับไพร่สามัญชนอย่างเมืองรามได้ไม่ยากเย็นอะไร
แต่งงานกันได้ไม่นาน เจ้าหญิงก็ให้บุตรชายหญิงแก่เมืองรามอย่างละคน
คนพี่คือเด็กหญิงอาบองค์ คนน้องเป็นชาย .. เด็กชายเมืองสิงห์
ในระยะที่เจ้าหญิงเพิ่งคลอดเมืองสิงห์นี่เอง เมืองรามก็ถูกเกณฑ์ให้ไปเชียงแสนอีกครั้ง
(แต่เจ้าหญิงเพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือน ก็หอบลูกคนเล็กขี่ม้าไปตามผ้วจ้า!!)
ในตอนนี้ .. ภาพการแปงเมืองร้างอย่างเมืองเชียงแสน
ให้กลายเป็นเมืองหน้าด่านของเชียงใหม่
ถูกเล่าด้วยตัวละครสำคัญอย่างเมืองราม
ทำให้เราได้เข้าใจลำดับขั้นตอนการสร้างเมืองชัดเจน เห็นภาพ
ว่ามีขั้นตอนสำคัญใด และมีอุปสรรคเช่นใดบ้าง
เจ้าม่อนฟ้าและอี่รี่ ยังโผล่เป็นระยะๆ ให้เด็กๆ ได้พบปะสานสัมพันธ์กัน
(บนความบาดหมางของสองพ่อ)
ในตอนท้ายเรื่อง ผู้เขียนได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในพม่า (ในเรื่องเรียกว่าม่าน)
เมื่อพระเจ้าสีป้อได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พม่าต่อจากพระเจ้ามินดุง
พ้องกับที่เคยอ่านไว้ในพม่าเสียเมืองด้วย
เมื่อพระเจ้าสีป้อขึ้นเป็นกษัตริย์ พระนางศุภยาลัต (มเหสี) …
และพระนางอเลนันดอ (พระมารดาของพระนางศุภยาลัต)
ได้จับพระญาติทั้งหมดขังและสำเร็จโทษทั้งหมด
เจ้าม่อนฟ้า เจ้าเมืองนาย .. เมืองหนึ่งของไตใหญ่
ไทยใหญ่ในเวลานั้นอยู่ใต้อำนาจของพม่าด้วย
มีการเกี่ยวดองกับเจ้าพม่ากันตามประเพณีเมืองขึ้น
เจ้าม่อนฟ้าและอี่รีจึงโดนหางเลขในการกว้านกำจัดพระญาติของพระนางศุภยาลัตด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจ้าม่อนฟ้า อี่รี และเมืองรามได้พบกันอีกครั้ง
การพบกันรอบสุดท้ายนี้ เจ้าหญิงได้รับรู้เรื่องราวความหลัง
ระหว่างเมืองรามและบัวบุรีอย่างละเอียด รู้แล้วเจ้าหญิงแม่ลูกอ่อนก็หึงแหลก
ตัวละคร (ทั้งเจ้าม่อนฟ้า และเจ้าหญิงเนตรระยับ) ยังคงหึงหวง ..
ไร้สติและเหตุผลเหมือนเล่มก่อนเดี๊ยะ
โตจนมีลูกกันทั้งสองคู่แล้ว แต่วุฒิภาวะไม่ได้โตขึ้นด้วยเล้ย
อ่านแล้วก็พาเซ็งเหมือนเดิมค่ะ -*-
ฉากการพบกันของเมืองราม อี่รี เจ้าม่อนฟ้า และเจ้าหญิงระยับเนตรในตอนท้ายเรื่อง
ทำลายอรรถรสในการขมวดปมเตรียมตัวจบมาก
มันจบงงๆ จบเหมือนไม่จบ คาใจ ยังไงต่อ .. หรือจะเป็นกุศโลบายของผู้เขียน
ให้เราต้องติดตามอ่านเล่มต่อไปก็ไม่รู้ -*-
สำหรับเล่มนี้ .. หนึ่งฟ้าดินเดียว ..
ในส่วนของประวัติศาสตร์ และคำบรรยายเหตุการณ์สละสลวยสวยงามไม่แพ้เวียงแว่นฟ้า
แทรกบทสุภาษิตล้านนาเพราะๆ แทรกประเพณีล้านนา อย่างพิธีแฮกนา (แรกนาขวัญ)
และประเพณีงานบุญต่างๆ ของล้านนา เช่นงานบุญสลากภัต งานปอยหลวง ฯลฯ
แถมเมื่อเจ้าหญิงแต่งงานและมีลูก ประเพณีความเชื่อต่างๆ
ทั้งที่เกี่ยวกับการแต่งงาน และการคลอด การเลี้ยงทารก ในแบบล้านนา
ก็มีอยู่ในเล่มครบถ้วน
ในบทสนทนาระหว่างตัวละคร เราได้เห็นหัวจิตหัวใจของคนที่อยู่ในฐานะเมืองขึ้น
แม้เป็นถึงเจ้าก็ยังไม่มีอิสระ
ทั้งฝ่ายที่เป็นเมืองขึ้นม่าน อย่างเมืองน้อยใหญ่ชาวไตรัฐต่างๆ
และหมู่เมืองล้านนาที่ต้องขึ้นต่อสยาม ..
ในส่วนของตัวละคร ..
ทีแรกก็พยายามจะรักตัวละครนะ แต่พออ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งรักยากขึ้นทุกที
ตัวละครหลายตัวสุดโต่งเกินไป เจ้าหญิงนางเอกก็เอาแต่ใจตัวสุดโต่ง
แกล้งป่วยจนพ่อแม่ทุกข์ร้อนไม่เคยกลัวบาปกรรมสำนึกใดๆ
พ่อแม่ก็ตามใจตะพึดตะพือ
ตามใจกันจนเสียเด็ก อยากได้อะไรก็ตามใจไม่เคยขัด
ทำผิดก็ไม่เคยว่ากล่าวตักเตือน ไม่ว่าผิดน้อยผิดมาก
จนกระทั่งถึงกับทำผิดฮีต (จารีต) นี่แหละ ผู้ใหญ่ถึงได้ตกทุกข์กันถ้วนหน้า
ตัดสินใจไม่ตกจะแก้ปัญหาให้ลูกหลานอย่างไรดี (แก้ให้อีกอยู่ดี)
ตัวละครที่พอจะมีเหตุผลที่สุดในเรื่อง เห็นจะเป็นเจ้าหญิงดารกาเด่นดวงในเวียงแว่นฟ้า
ซึ่งในเล่มนี้กลายเป็นนางเมือง (พระชายาของเจ้าเมือง)
เธอฉลาด สุขุม มีชั้นเชิงในการแก้ปัญหา
เงียบๆ นิ่งๆ แต่เป็นกำลังหลักของเจ้าหลวงในการตัดสินใจใดๆ ให้รอบคอบยิ่ง
สวย เรียบ เฉียบ โหด สมเป็นนางเมืองเชียงใหม่
แต่ในส่วนที่เธอโหดก็กลัวที่จะรักเธออยู่เหมือนกันนะ >,<
นางเมืององค์นี้มีธิดาสององค์คือเจ้าหญิงนิดกับเจ้าหญิงน้อย
ภายหลังได้พระนามใหม่ว่าเจ้าหญิงจันทร์ กับเจ้าหญิงดารา
(ซึ่งน่าจะเทียบกับพระองค์จริงคือเจ้าหญิงจันทร์โสภากับเจ้าดารารัศมีนั่นเอง)
ตามประวัติศาสตร์ (และในเรื่องได้เล่าถึงไว้นิดหน่อย)
เจ้าหญิงจันทร์ได้ป่วยและสิ้นไปตั้งแต่ยังอายุน้อย
ส่วนเจ้าหญิงดารา ภายหลัง (ตอนท้ายเรื่อง) ได้เดินทางไปถวายตัวที่กรุงเทพฯ
ตรงตามประวัติศาสตร์ค่ะ
ตรงนี้เองคือจุดเริ่มต้นของการรวบรวมล้านนาแลสยามรวมเป็นหนึ่งฟ้าดินเดียว
แม้ในความเป็นจริง ภายใต้ความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้
ก็ยังมีคลื่นใต้น้ำของความขัดแย้งผุดพรายเป็นระยะ
ความขัดแย้งระหว่างเจ้าเมืองต่างๆ ในล้านนา กับผู้แทนพระองค์ที่ถูกส่งมาดูแลหัวเมืองทางเหนือ
ก็ค่อยเพิ่มทวีขึ้น รอวันปะทุ ในเล่มต่อไป (มั๊ย?)
ก็คงตามตามไปอ่านกันที่ภาคต่อไป .. ขุนหอคำ ^^
Comments are closed.