อ่านแล้วเล่า

หนึ่งฟ้าดินเดียว

27-1 หนึ่งฟ้าดินเดียว

เรื่อง หนึ่งฟ้าดินเดียว
ผู้แต่ง กฤษณา อโศกสิน
สำนักพิมพ์ เพื่อนดี
ราคา 360 บาท

(สองย่อหน้าแรกสปอยล์ตอนท้ายของเวียงแว่นฟ้านิดนะคะ)

ในตอนท้ายของเรื่องยิ่งน้ำเน่าเข้าไปกันใหญ่
และไม่อยากจะบอกเลยว่า มันมาสนุกเอาตอนน้ำเน่าได้ที่นี่เอง
เรื่อยๆ มาทั้งเล่ม มาสนุกเอาตอนใกล้จะจบนี่แหละ
ในตอนท้ายของเวียงแว่นฟ้า เมืองรามตามไปชิงบัวบุรีคืนมาจากเจ้าม่อนฟ้า
ที่ชายแดนเมืองนายติดเมืองหมอกใหม่
แต่กลับพลาดพลั้งถูกเจ้าม่อนฟ้าลอบแทงทีเผลอ ทำให้บาดเจ็บปางตาย
เมืองรามกลับรอดชีวิตด้วยการช่วยเหลือจากทหารของเมืองหมอกใหม่
ผู้ยึดทั้งอาวุธและเงิน แล้วตั้งใจฝึกให้เขาเป็นทหารเพื่อเกณฑ์ไปรบกับเชียงใหม่

เมืองหมอกใหม่ในครานั้น ปกครองด้วยเจ้าโกหล่าน ชายผู้สับปลับเชื่อถือไม่ได้
บ้างก็สวามิภักดิ์กับเมืองนาย (เมืองของลุงของเจ้าม่อนฟ้า)
บ้างก็สวามิภักดิ์กับเมืองเชียงใหม่ (เมืองที่มีบุญคุณต่อเมืองราม)
แต่เจ้าโกหล่านก็ไม่เคยภักดีต่อใครจริง มักหาโอกาสลอบตีแบบกองโจรเรื่อยมา
เมืองรามจะต้องอยู่ใต้อำนาจของคนอย่างโกหล่าน ก็น่าคลางแคลงใจว่าผู้เขียน –
จะรังสรรค์ชีวิตของชายหนุ่มผู้แสนดี แสนซื่อ (บื้อ .. ในด้านความรัก)
ให้ไปจบตรงที่ใด เพราะฉะนั้น มาตามอ่านหนึ่งฟ้าด้าวเดียวต่อด้วยกันค่ะ

สำหรับในเล่มหนึ่งฟ้าดินเดียว ..
ปัญหาพิพาทเรื่องป่าไม้ยังคงตามมาเป็นปัญหาสำคัญของเชียงใหม่
ในสมัยของเจ้าหลวงองค์ใหม่ (เจ้าหลวงองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน ..
เจ้าบุรีรัตน์จากเรื่องเดิม เทียบได้กับเจ้าพระเจ้าอินทวิชยานนท์ตามประวัติศาสตร์)
เจ้าหลวงองค์ใหม่นี้มิได้มีท่าทีแข็งกร้าวเช่นเจ้าหลวงองค์เดิม
ทรงมีจิตใจเมตตา แต่ก็ไม่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ไม่โปรดการสู้รบหรือพิพาท

ในส่วนของตัวละครที่เป็นข้ารับใช้ ..
ห้าปีผ่านไป เปิดเรื่องมาแบบงงๆ เมืองรามกลับมารับใช้เจ้าเชียงใหม่ได้ไงไม่รู้
ผู้เขียนอธิบายในภายหลังว่าเมืองรามหลบลี้จากกองทัพทหารเมืองหมอกใหม่
ในครั้งที่พวกเขายกพลมาที่ชายแดนเวียงเชียงใหม่
เมื่อมาอยู่กับเจ้านายเก่า เมืองรามก็รับใช้ถวายหัว ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนเดิม
เจ้านายจึงเห็นความดีความชอบ มอบตำแหน่งผู้ดูแลนาหลวงให้
ในระหว่างนั้นเอง เมืองรามจึงมีโอกาสได้พบและรู้จักกับเจ้าหญิงองค์หนึ่ง

เจ้าหญิงระยับเนตร เป็นบุตรีของเจ้าน้อยสิงห์
บุตรชายของเจ้าน้อยอภิรุม พระญาติเจ้าหลวงพระองค์ก่อน
กับหม่อมเสลาหม่อมชาวลำพูน

เมื่อแรกอ่าน เรามองว่านางเอกเรื่องนี้เข้าท่ากว่าเล่มก่อน
เจ้าหญิงระยับเนตรเป็นเจ้าหญิงแสบซ่า แก่นเซี้ยว เอาแต่ใจ น่ารัก
แต่พออ่านไป อ่านไป .. นางเอกเรื่องนี้นางเยอะจริงๆ

เจ้าหญิงองค์นี้งามนัก (แต่คงไม่เท่าอีรี่ นางเอกคนก่อน)
ในช่วงต้นเรื่อง เมืองรามจำต้องติดตามคณะเจ้าไปสำรวจเมืองเชียงแสน
ด้วยว่าในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระประสงค์ให้แปงเมืองร้างให้กลายเป็นรัฐกันชน
คั่นระหว่างเมืองในปกครองของม่าน และเมืองในปกครองของสยาม
เจ้าหลวงจึงให้เริ่มต้นด้วยการยกพลไปขับม่าน เงี้ยว ลื้อ เขิน
ที่เข้ามาตั้งรกราก ตั้งกองโจร ฯลฯ ให้ออกไปเสียก่อน
เจ้าหญิงระยับเนตรก็ร้องตามเจ้าน้อยสิงห์ผู้เป็นบิดาไปด้วย
เมืองรามได้รับหน้าที่ให้ดูแลพระญาติพระองค์นี้
จึงได้ใกล้ชิดเห็นฤทธิ์เดชเจ้าหญิงระยับเนตรเต็มๆ

ในช่วงต้น เจ้าหญิงดูถูกเมืองรามว่าต่ำต้อยกว่า
สร้างความน้อยใจในหัวใจเมืองรามนัก
ในระหว่างการเดินทาง ก็ยิ่งเกลียดหน้า หาทางแกล้งสารพัด

ในระหว่างการเดินทาง ผู้เขียนใส่บทสนทนาของสองพ่อลูก
บอกเล่าประวัติศาสตร์และตำนานล้านนาตั้งแต่การสร้างกรุงก่อนสมัยพญามังราย
เรื่อยมาจนเชียงใหม่ตกเป็นของม่าน (พม่า) กว่าสองร้อยปี
ระหว่างนั้นก็ถูกเกณฑ์ให้ไปรบกับอยุธยาบ้าง ถูกอยุธยายกทัพมาตีบ้าง ฯลฯ
เล่าด้วยภาษากระชับ เข้าใจง่ายแบบพ่อเล่านิทานให้ลูกฟัง
(บางครั้งเมืองรามก็ถูกแกล้งให้เล่าบ้าง
ยิ่งเล่าจึงยิ่งพบว่าแท้จริงแล้วเมืองรามฉลาดเฉลียว และรู้อะไรๆ หลายอย่าง)
เป็นกุศโลบายของผู้เขียนที่นอกจากเจ้าหญิงระยับเนตรจะได้รู้ประวัติศาสตร์ที่ย่อยง่ายแล้ว
ผู้อ่านเองก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ;P
(แต่บางทีก็จำไม่หมดนะ ผู้เขียนจัดชุดใหญ่มาเลย รายละเอียดเยอะ
ชื่อเจ้าแต่ละองค์ แต่ละยุคยาวและเยอะมาก)

บทสนทนาของตัวละครเหล่านี้ไพเราะอ่อนหวานมีชั้นเชิง
มีการยกสุภาษิต ยกค่าว (บทกลอน) เพราะๆ มาแทรกไว้เสมอๆ

การเดินทางไปขับม่านในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนของเจ้าหญิงแล้ว
ยังเป็นการเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างเมืองรามและเจ้าหญิงไปในตัวด้วย
แม้จะเป็นความใกล้ชิดที่ต่างฝ่ายต่างยังมึนตึงใส่กันก็ตามที

ระหว่างการเดินทางนี่เอง
ขบวนทัพของเชียงใหม่ก็บังเอิญได้พบปะกับขบวนของเจ้าม่อนฟ้าและบัวบุรีด้วย
บัดนี้เจ้าม่อนฟ้าและอี่รีมีบุตรและบุตรด้วยกันอย่างละหนึ่ง ชื่อมาวฟ้ากับบัวฟ้า
โผล่มาอัพสเตตัสพอให้หายคิดถึงแล้วก็ลากันไป

และแล้วเมื่อกลับจากเชียงแสน เจ้าหญิงก็เริ่มรู้ตัวว่าตกหลุมรักเมืองรามเข้าแล้ว
ตอนป่วนก็ป่วนชาวบ้านเอาไว้เสียเยอะ แกล้งป่วย เอาแต่ใจสารพัด
พอเปลี่ยนมาตกหลุมรักพระเอก ก็กลับสงสารที่พระเอกทำงานหนัก
(ส่วนหนึ่งก็งานนางสร้างไว้ทั้งนั้น) ถึงกับน้ำตาตก .. อารมณ์สุดแปรปรวน
เจ้าหญิงป่วยทั้งเรื่อง ขัดอกขัดใจก็ทำฤทธิ์แกล้งป่วยให้คนป่วน

พระนางสวยหล่อเลือกได้กันทั้งคู่
ต่างฝ่ายก็ต่างปฏิเสธหนุ่มสาวที่หมายปองตนกันไปมากมาย
สุดท้ายต่างก็มารู้ใจตัวเองว่ารักกัน
เป็นรักต่างชนชั้น ..
รักแรกของเมืองรามเต็มไปด้วยอุปสรรค์แล้ว รักที่สองก็ยังมิวายมีอุปสรรคอีก
ความรักของเขาช่างยากลำบากและเต็มไปด้วยขวากหนาม
(และคาดว่าหลังจากกินแขกแต่งงานกันไปแล้วก็น่าจะยังลำบาก
ด้วยเจ้าหญิงระยับเนตรเอาแต่ใจตนถึงขนาด)

เมื่อกลับมา เจ้าหญิงระยับเนตรก็ทำฤทธิ์ให้เมืองรามได้มาสอนหนังสือตน
เมืองรามมาสอนหนังสือเจ้าหญิงระยับเนตรทุกวัน ความสัมพันธ์ก็ยิ่งแน่นแฟ้นทบทวี
ยิ่งรู้ว่ารักก็ยิ่งอึดอัดใจ หาทางออกไม่ได้

ในตอนนี้เอง เจ้าหญิงระยับเนตรได้เปลี่ยนร่าง
จากเจ้าหญิงจอมแก่นสุดป่วนชวนปวดหัว
กลับกลายเป็นเจ้าหญิงผู้ใฝ่รู้ช่างซัก ช่างถาม น่าเอ็นดู
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าหญิง ‘เยอะ’ ไปหรือเปล่า
อ่านแล้วเลยไม่ค่อยอินเหมือนตอนที่เมืองรามรักกับอี่รีในเล่มก่อนเลย

แล้วก็ตามคาด ฝีมือระดับเจ้าหญิงระยับเนตร ก็สามารถดื้อดึง
ดึงตัวเองลงมาแต่งงานกับไพร่สามัญชนอย่างเมืองรามได้ไม่ยากเย็นอะไร
แต่งงานกันได้ไม่นาน เจ้าหญิงก็ให้บุตรชายหญิงแก่เมืองรามอย่างละคน
คนพี่คือเด็กหญิงอาบองค์ คนน้องเป็นชาย .. เด็กชายเมืองสิงห์
ในระยะที่เจ้าหญิงเพิ่งคลอดเมืองสิงห์นี่เอง เมืองรามก็ถูกเกณฑ์ให้ไปเชียงแสนอีกครั้ง
(แต่เจ้าหญิงเพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือน ก็หอบลูกคนเล็กขี่ม้าไปตามผ้วจ้า!!)

ในตอนนี้ .. ภาพการแปงเมืองร้างอย่างเมืองเชียงแสน
ให้กลายเป็นเมืองหน้าด่านของเชียงใหม่
ถูกเล่าด้วยตัวละครสำคัญอย่างเมืองราม
ทำให้เราได้เข้าใจลำดับขั้นตอนการสร้างเมืองชัดเจน เห็นภาพ
ว่ามีขั้นตอนสำคัญใด และมีอุปสรรคเช่นใดบ้าง

เจ้าม่อนฟ้าและอี่รี่ ยังโผล่เป็นระยะๆ ให้เด็กๆ ได้พบปะสานสัมพันธ์กัน
(บนความบาดหมางของสองพ่อ)

ในตอนท้ายเรื่อง ผู้เขียนได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในพม่า (ในเรื่องเรียกว่าม่าน)
เมื่อพระเจ้าสีป้อได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พม่าต่อจากพระเจ้ามินดุง
พ้องกับที่เคยอ่านไว้ในพม่าเสียเมืองด้วย
เมื่อพระเจ้าสีป้อขึ้นเป็นกษัตริย์ พระนางศุภยาลัต (มเหสี) …
และพระนางอเลนันดอ (พระมารดาของพระนางศุภยาลัต)
ได้จับพระญาติทั้งหมดขังและสำเร็จโทษทั้งหมด
เจ้าม่อนฟ้า เจ้าเมืองนาย .. เมืองหนึ่งของไตใหญ่
ไทยใหญ่ในเวลานั้นอยู่ใต้อำนาจของพม่าด้วย
มีการเกี่ยวดองกับเจ้าพม่ากันตามประเพณีเมืองขึ้น
เจ้าม่อนฟ้าและอี่รีจึงโดนหางเลขในการกว้านกำจัดพระญาติของพระนางศุภยาลัตด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจ้าม่อนฟ้า อี่รี และเมืองรามได้พบกันอีกครั้ง

การพบกันรอบสุดท้ายนี้ เจ้าหญิงได้รับรู้เรื่องราวความหลัง
ระหว่างเมืองรามและบัวบุรีอย่างละเอียด รู้แล้วเจ้าหญิงแม่ลูกอ่อนก็หึงแหลก
ตัวละคร (ทั้งเจ้าม่อนฟ้า และเจ้าหญิงเนตรระยับ) ยังคงหึงหวง ..
ไร้สติและเหตุผลเหมือนเล่มก่อนเดี๊ยะ
โตจนมีลูกกันทั้งสองคู่แล้ว แต่วุฒิภาวะไม่ได้โตขึ้นด้วยเล้ย
อ่านแล้วก็พาเซ็งเหมือนเดิมค่ะ -*-

ฉากการพบกันของเมืองราม อี่รี เจ้าม่อนฟ้า และเจ้าหญิงระยับเนตรในตอนท้ายเรื่อง
ทำลายอรรถรสในการขมวดปมเตรียมตัวจบมาก
มันจบงงๆ จบเหมือนไม่จบ คาใจ ยังไงต่อ .. หรือจะเป็นกุศโลบายของผู้เขียน
ให้เราต้องติดตามอ่านเล่มต่อไปก็ไม่รู้ -*-

สำหรับเล่มนี้ .. หนึ่งฟ้าดินเดียว ..
ในส่วนของประวัติศาสตร์ และคำบรรยายเหตุการณ์สละสลวยสวยงามไม่แพ้เวียงแว่นฟ้า
แทรกบทสุภาษิตล้านนาเพราะๆ แทรกประเพณีล้านนา อย่างพิธีแฮกนา (แรกนาขวัญ)
และประเพณีงานบุญต่างๆ ของล้านนา เช่นงานบุญสลากภัต งานปอยหลวง ฯลฯ

แถมเมื่อเจ้าหญิงแต่งงานและมีลูก ประเพณีความเชื่อต่างๆ
ทั้งที่เกี่ยวกับการแต่งงาน และการคลอด การเลี้ยงทารก ในแบบล้านนา
ก็มีอยู่ในเล่มครบถ้วน

ในบทสนทนาระหว่างตัวละคร เราได้เห็นหัวจิตหัวใจของคนที่อยู่ในฐานะเมืองขึ้น
แม้เป็นถึงเจ้าก็ยังไม่มีอิสระ
ทั้งฝ่ายที่เป็นเมืองขึ้นม่าน อย่างเมืองน้อยใหญ่ชาวไตรัฐต่างๆ
และหมู่เมืองล้านนาที่ต้องขึ้นต่อสยาม ..

27-2 หนึ่งฟ้าดินเดียว

ในส่วนของตัวละคร ..
ทีแรกก็พยายามจะรักตัวละครนะ แต่พออ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งรักยากขึ้นทุกที
ตัวละครหลายตัวสุดโต่งเกินไป เจ้าหญิงนางเอกก็เอาแต่ใจตัวสุดโต่ง
แกล้งป่วยจนพ่อแม่ทุกข์ร้อนไม่เคยกลัวบาปกรรมสำนึกใดๆ
พ่อแม่ก็ตามใจตะพึดตะพือ
ตามใจกันจนเสียเด็ก อยากได้อะไรก็ตามใจไม่เคยขัด
ทำผิดก็ไม่เคยว่ากล่าวตักเตือน ไม่ว่าผิดน้อยผิดมาก
จนกระทั่งถึงกับทำผิดฮีต (จารีต) นี่แหละ ผู้ใหญ่ถึงได้ตกทุกข์กันถ้วนหน้า
ตัดสินใจไม่ตกจะแก้ปัญหาให้ลูกหลานอย่างไรดี (แก้ให้อีกอยู่ดี)

ตัวละครที่พอจะมีเหตุผลที่สุดในเรื่อง เห็นจะเป็นเจ้าหญิงดารกาเด่นดวงในเวียงแว่นฟ้า
ซึ่งในเล่มนี้กลายเป็นนางเมือง (พระชายาของเจ้าเมือง)
เธอฉลาด สุขุม มีชั้นเชิงในการแก้ปัญหา
เงียบๆ นิ่งๆ แต่เป็นกำลังหลักของเจ้าหลวงในการตัดสินใจใดๆ ให้รอบคอบยิ่ง
สวย เรียบ เฉียบ โหด สมเป็นนางเมืองเชียงใหม่
แต่ในส่วนที่เธอโหดก็กลัวที่จะรักเธออยู่เหมือนกันนะ >,<

นางเมืององค์นี้มีธิดาสององค์คือเจ้าหญิงนิดกับเจ้าหญิงน้อย
ภายหลังได้พระนามใหม่ว่าเจ้าหญิงจันทร์ กับเจ้าหญิงดารา
(ซึ่งน่าจะเทียบกับพระองค์จริงคือเจ้าหญิงจันทร์โสภากับเจ้าดารารัศมีนั่นเอง)
ตามประวัติศาสตร์ (และในเรื่องได้เล่าถึงไว้นิดหน่อย)
เจ้าหญิงจันทร์ได้ป่วยและสิ้นไปตั้งแต่ยังอายุน้อย
ส่วนเจ้าหญิงดารา ภายหลัง (ตอนท้ายเรื่อง) ได้เดินทางไปถวายตัวที่กรุงเทพฯ
ตรงตามประวัติศาสตร์ค่ะ

ตรงนี้เองคือจุดเริ่มต้นของการรวบรวมล้านนาแลสยามรวมเป็นหนึ่งฟ้าดินเดียว
แม้ในความเป็นจริง ภายใต้ความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้
ก็ยังมีคลื่นใต้น้ำของความขัดแย้งผุดพรายเป็นระยะ
ความขัดแย้งระหว่างเจ้าเมืองต่างๆ ในล้านนา กับผู้แทนพระองค์ที่ถูกส่งมาดูแลหัวเมืองทางเหนือ
ก็ค่อยเพิ่มทวีขึ้น รอวันปะทุ ในเล่มต่อไป (มั๊ย?)
ก็คงตามตามไปอ่านกันที่ภาคต่อไป .. ขุนหอคำ  ^^

 

Comments are closed.