อ่านแล้วเล่า

สมุดบันทึกแห่งความสัตย์จริง

เรื่อง สมุดบันทึกแห่งความสัตย์จริง
The Authenticity Project
ผู้แต่ง แคลร์ พูลีย์
ผู้แปล ณัฏฐรี
สำนักพิมพ์ piccolo
(สำนักพิมพ์ในเครืออมรินทร์)
เลขมาตรฐานหนังสือ 9786161849849

แม้จะหน้าตาเกาหลี ญี่ปุ่น แต่หนังสือเล่มนี้ถูกแปลมาจากฝั่งยุโรป
ฉากของเรื่องอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

เล่มนี้ ตอนแรกๆ ก็จะเนือยๆ หน่อย
แต่พอเริ่มเข้าใจเนื้อเรื่อง ก็สนุกดี

เราเพิ่งอ่าน หลากเรื่องในชีวิตของชายผู้รักหนังสือ จบไป
และตอนที่อ่านเล่มนั้น ก็นึกถึง อูเว อยู่หน่อยๆ
ชายผู้เป็นเจ้าของเรื่องทั้งสองคน คืออูเว กับเอ.เจ. ฟิกรี้
ต่างก็เพิ่งสูญเสียภรรยา และใช้ชีวิตโดดเดี่ยว ผ่านวันคืนไปอย่างยากลำบาก
ในเรื่องนี้ จูเลียน เจสซอป ก็สูญเสียภรรยาไปเช่นกัน
เขาเป็นจิตรกรมีชื่อของเมืองนั้น
(ฉากของเรื่องคือเมืองเชลซี ประเทศอังกฤษ)
แต่ชื่อเสียงเขาค่อยๆ จางลงตอนที่เขาอายุมากขึ้น
ตอนนี้เขาเป็นชายแก่อายุใกล้จะ 80
และเป็นคนต้นคิดเรื่อง สมุดบันทึกแห่งความสัตย์จริง
ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเล่ม

โมนิกา หญิงสาวตอนปลาย
อดีตทนายความที่ลาออกมาเป็นเจ้าของคาเฟ่แห่งหนึ่ง
เธอเป็นคนเก็บสมุดบันทึก ที่ลูกค้าจงใจลืมเอาไว้ในคาเฟ่ได้
มันเป็นสมุดแบบฝึกหัดสีเขียวอ่อนเรียบๆ
หน้าปก มีถ้อยคำเขียนด้วยลายมือเอาไว้ว่า
โปรเจ็กต์แห่งความสัตย์จริง
โมนิกาเก็บสมุดบันทึกเล่มนั้นไว้ ด้วยความตั้งใจที่จะส่งคืนเจ้าของในครั้งแรก
แต่เมื่อเธอเผลอเปิดสมุดบันทึกออกอ่าน
เธอจึงได้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ที่จงใจลืมมันไว้

สมุดเล่มนี้กำลังเล่าเรื่องจริงของเจสซอป
และเขาต้องการให้ทุกคนหันมาเล่าความจริงต่อกัน
เรื่องจริงที่ไม่ใช่เรื่องราวสวยหรูชวนอิจฉา
แบบเรื่องราวใน facebook หรือ instagram
เขาต้องการให้ผู้คนพูดความจริงที่เป็นข้อบกพร่อง เป็นปมในใจ
เป็นความเจ็บปวด หรือเป็นความปรารถนาในส่วนลึก ฯลฯ
ผ่านสมุดบันทึกเล่มนี้ ..

จากโมนิกา สมุดบันทึกเล่มนี้ถูกทิ้งแล้วซ้ำเล่า
ถูกขีดเขียนระบายความในใจ .. จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
มันเคยเดินทางมาถึงเกาะสมุย ที่ประเทศไทย
และติดแหง็กอยู่ที่นั่นอยู่หลายเดือน
ก่อนจะติดกระเป๋าใครบางคนกลับไปยังอังกฤษอีกครั้ง

หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องเรื่อยๆ ไม่ได้หวือหวา
มีจุดพลิกผลันให้ได้แปลกใจนิดหน่อย (เราชอบจุดนั้น)
และก็มีจุดให้เอ๊ะๆ อยู่บ้าง
มันรวบรวมเหล่ามนุษย์ที่ชอบจัดแจง วางแผนให้ชีวิตคนอื่น
เรานึกว่าชาวตะวันตกเขาจะต่างคนต่างอยู่กันมากกว่านี้

หนังสือเล่มนี้มีตัวละครค่อนข้างเยอะ
แต่ตัวละครทุกตัวที่จำเป็น ค่อยๆ ถูกเปิดตัวอย่างมีลำดับขั้นตอน
ทำให้เราไม่สับสน และสร้างระบบความจำได้อย่างมีระเบียบ

หนังสือเล่มนี้บอกกับเราว่า
มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์เป็นของตัวเอง
แต่นอกจากความทุกข์ ทุกคนยังมีความสุข มีหน้าที่
มีความรับผิดชอบ ความหวัง ความฝัน .. ด้วยกันทั้งนั้น
ทุกอย่างที่เรารู้สึก เราไม่ได้เป็นอยู่คนเดียว

หนังสือยังบอกกับเราอีกว่า ..
ในความสัตย์จริง บางครั้งก็มีเรื่องโกหกอยู่บ้าง
แต่หากเราวัดกันที่เจตนา
บางที เรื่องโกหกก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายเท่าไรนัก
ความอีรุงตุงนังระหว่างความจริงกับการโกหก
มันผสมปนเปกันจนกลายเป็นหนังสือเล่มนี้นี่แหละ

มันมีตัวละครที่ทำให้เรารู้สึกว่า
การพูดความจริงเป็นสิ่งที่ยาก
โดยเฉพาะพูดกับคนที่เรารู้สึกดีๆ ด้วย
แต่ก็มีตัวละครที่ผู้เขียนไม่อธิบายอะไรให้เราเลย
ไม่อธิบายเหตุผลที่เขาไม่พูดความจริงนั้น
และมันก็น่าแปลกใจ
ที่ตัวละครอื่นๆ ก็พร้อมจะข้ามผ่านประเด็นนี้ไป
เราว่านี่เป็นช่องโหว่ของเล่ม
เป็นจุดสะดุด ที่ทำให้เราหักคะแนน

หนังสือเล่มนี้เดินทางไปได้ไม่ถึง “เล่มโปรด” ของเรา
มันยังมีจุดสะดุด ติดๆ ขัดๆ อยู่หลายจุด
เหมือนพล็อตที่วางไม่เสร็จ จบไม่ลง หรือไม่ก็ถูกตัดจบ

เป็นหนังสือที่อ่านได้เรื่อยๆ มีช่วงให้สนุก มีช่วงให้เฉยๆ
และตอนจบ หากไม่คิดอะไรมาก มันก็ happy ending ดี

 

Comments are closed.