เรื่อง ร่มไม้ชายคา ผู้แต่ง ศิเรมอร อุณหธูป สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 85 บาท ศิเรมอร อุณหธูป เป็นมนุษย์อีกคนที่ชอบคุยกับต้นไม้ อ่านไปสักพักก็ชักจะเชื่อ .. บางทีต้นไม้และดอกไม้ มันอาจจะมีภาษาของมันเองจริงๆ ก็ได้ และเพียงมนุษย์บางผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ร่วมสนทนาด้วย เฉพาะมนุษย์ผู้มีจิตใจอ่อนโยน ละเอียดอ่อน? มนุษย์อย่างเรา ยังคุยกับต้นไม้ไม่รู้เรื่อง อย่างมากก็แค่บ่นให้ต้นไม้ฟังแต่ฝ่ายเดียว ให้มากกว่านั้น ก็คุยกับนกหรือกิ้งก่าที่ป้วนเปี้ยนอยู่ในสวนด้วย เหมือนกับคนที่เลี้ยงแมวหมานั่งคุยกับสัตว์เลี้ยงตัวเอง ถึงขนาดนั้น แต่เราก็ยังไม่เคยฟังต้นไม้พูดสักที ร่มไม้ชายคา เป็นบทความที่เล่าถึงต้นไม้ ทั้งไม้ดอก ไม้ใบ ไม้กินได้ ฯลฯ ภาพประกอบสวย ภาษาสวย เนื้อหาอ่อนโยน หลายบทมีความเป็นเด็กๆ ทั้งภาษาและเรื่องที่เล่า คล้ายๆ แอบฟังเด็กๆ คุยกัน อ่านแล้วชื่นใจ รื่นรมย์ .. นั่นน่ะแหละนะ .. วัยเด็กของใครก็สวยงามทั้งนั้น ^^ ในวันที่ต้องการการพักผ่อน ในวันที่ต้องการบางสิ่งช่วยปลอบประโลม[…]

เรื่อง ครัวหรรษาจากปลาร้าถึงวาซาบิ ผู้แต่ง ฮิมิโตะ ณ เกียวโต สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 155 บาท ชีวิตอย่างกับถูกจัดฉาก ในวันหนึ่งที่เราตะบี้ตะบันขุดงานเก่าๆ ของฮิมิโตะ ณ เกียวโต ออกมาอ่านไล่เรียงลำดับไปทีละเล่มนั้น ก็มีเหตุให้ต้องเดินทาง .. และระหว่างการเดินทางเราก็ได้พบเจ้าเล่มนี้ นอนรอเรานิ่งๆ อยู่ที่ร้านหนังสือมือสองแห่งหนึ่ง จากที่เคยคิดว่าจะปิดท้ายฮิมิโตะ เซ็ต เอาไว้ที่คลุกข้าวซาวเกลือ ครัวหรรษา จากปลาร้าถึงวาซาบิ เล่มนี้จึงกลายเป็นเล่มปิดท้ายกว่า แถมมาอีกเล่มไปโดยปริยาย อ่านผ่านๆ มาจากหลายเล่มว่าฮิมิโตะ ณ เกียวโต เคยร่วมแรงกับเพื่อนชาวญี่ปุ่น เปิดร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นอยู่พักหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ จะมาเล่าถึงประสบการณ์ครั้งนั้นแบบเพียวๆ เต็มๆ เมื่อฮิมิโตะฯ มีเหตุให้ต้องตกปากรับคำไปทำครัววาซาบิอยู่ร่วมปี เรื่องราวที่เกิดขึ้นในครัวจึงค่อยๆ ถูกถ่ายทอดสู่เราเหล่านักอ่านทีละน้อยๆ แม้จะเป็นการเริ่มต้นอย่างทุลักทุเล เพราะหุ้นส่วนทั้งสองล้วนเป็นมือใหม่นักฝันด้วยกันทั้งคู่ ตอนฝันก็ร่วมกันฝันดีอยู่หรอก แต่อีตอนทำก็แทบจะยกกระทะตะหลิวช้งเช้งกันไปปรึกษากันไป แต่ระยะเวลาที่ผ่านไป ทำให้ครัวแห่งนี้แข็งแรงขึ้น (บ้าง) ทั้งปริมาณสมาชิก สูตรอาหาร และปริมาณเสบียงกรัง[…]

เรื่อง เดินเล่นบนหลังคาโลก ผู้แต่ง เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 105 บาท หนังสือเล่มนี้ดีตั้งแต่คำนำ!! ชื่อเรื่องก็บอก ว่าเป็นบันทึกความทรงจำในทิเบตของเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย เพิ่งอ่านเนปาลประมาณสะดือมาหมาดๆ พอมาเจอ เดินเล่นบนหลังคาโลก เลยรู้สึกเหมือนได้ฟังนิทานเรื่องเดิม แต่เปลี่ยนคนเล่า เป็นคนเล่าที่มีลีลาการเล่าน่าฟังไม่น้อยไปกว่านักเล่านิทานคนแรกเสียด้วย แม้เพลงดาบไม่ได้เดินขึ้นเขาเอเวอร์เรส แต่ก็เฉียดๆ ได้รสและบรรยากาศใกล้เคียงกัน และถ้าให้ตั้งชื่อให้เข้ากัน คงต้องเป็นทิเบตประมาณตาตุ่ม ;P กว่าเดินเล่นบนหลังคาโลกจะเดินทางไปถึงโรงพิมพ์และกลายเป็นหนังสือในมือเรา เพลงดาบฯ ก็เขียนหนังสือมาแล้วหลายเล่ม (สุขสันต์วันธรรมดา เหยียบโลกเล่นไม่เห็นช้ำ เอนหลังอ่าน บุคคลไม่สำคัญของโลก เด็ดดอกไม้ริมทาง บันทึกคนเดินช้า ..) สำบัดสำนวนในเล่มนี้จึงกลมกล่อมนวลเนียนอ่านลื่นกว่าสองเล่มแรกที่เพิ่งรีวิวไป (บันทึกคนเดินช้า และสุขสันต์วันธรรมดา) เพลงดาบฯ เล่าประสบการณ์ท่องเที่ยว 7 วันในทิเบต แม้จะไม่โลดโผน ยากลำบากแบบวิธีเล่าของนิ้วกลม แต่เพลงดาบฯ ก็มีมุมมองดีๆ สวยๆ และอารมณ์ขัน บวกกับสำนวนดีอย่างที่ว่าแล้ว ทำให้หนังสือเล่มบางๆ เล่มนี้จบเร็วเกินทำใจ ตัวหนังสือของเพลงดาบฯ[…]

เรื่อง บินทีละหลา ผู้แต่ง บินหลา สันกาลาคีรี สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 155 บาท บินทีละหลา แตกต่างจากหลังอานนิดหน่อย เพราะบินทีละหลา เป็นเล่มที่บินหลาจำพรรษาหน้าฝน หยุดพักจากการเดินทางท่องโลก มาเดินทางท่องใจตัวเอง รำลึกถึงการเดินทางนานาครั้งที่ผ่านมา สำหรับหลังอาน บินหลาเล่าทริปยาวๆ เป็นภาพต่อเนื่องกันไปในแต่ละตอน แต่เล่มนี้บินหลาเดินทางอยู่กับที่ หยิบยกเหตุการณ์ต่างสถานที่ ต่างวาระมาเล่าเป็นตอนๆ ไม่เกี่ยวเนื่องกัน เล่าการท่องเที่ยวตลอดชีวิต ที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง มีเพียงเหตุการณ์และสถานการณ์ ขยำ ยำ ปรุง ในรสชาติแบบบินหลา พร้อมเสิร์พเป็นตอนๆ อันว่าด้วยความหมายของการท่องเที่ยวมากกว่าจุดหมายที่ใดที่หนึ่ง แม้จะเป็นประสบการณ์การเดินทางแบบเป็นต่อนๆ ไม่ต่อเนื่อง บินหลายังสามารถเขยิบดีกรีสร้างความเร้าใจให้เพิ่มขึ้นในทุกตอนได้แบบเดียวกันกับ ‘ลองทริป’ นับเป็นลีลาการเล่าอันร้ายกาจเฉพาะตัวจริงๆ ตัวหนังสือของบินหลามีความรู้สึก คำบรรยายบั้งรอกใหญ่ในแบบของบินหลา และบางบท บางย่อหน้า ก็อ่านแล้วจี๊ดๆ ในหัวใจ อ่านบินหลามาตั้งแต่หัดมีฝัน จวบจนบัดนี้ผ่านมาหลายสิบปี บางฝันก็ยังคงเป็นแค่ฝันอยู่ แต่การใช้บินหลามากวนตะกอนฝันอีกครั้ง มันก็คันๆ หัวใจดีพิลึก ปล.[…]

เรื่อง หลังอาน ผู้แต่ง บินหลา สันกาลาคีรี สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 140 บาท เราอ่านหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ยังขี่จักรยานไม่เป็น แม้เมื่อตอนมาหัดจักรยานในวัยสามสิบ ก็ยังไม่ได้นึกถึงบินหลา แต่คาดว่าคงมีบางส่วนเสี้ยวที่ค้างคาอยู่ในจิตใต้สำนึก ที่ทำให้เราหัดมันจนสำเร็จ พฤติกรรมขี่จักรยานท่องเที่ยวของคนยุคนี้ ต้องมีบางคน .. หลายๆ คน ที่มีบินหลาเป็นไอดอล ก่อนที่จักรยานจะมาฮอตฮิต สุดเท่ สุดชิคอย่างในยุคสมัยนี้ ย้อนไปเกือบ 20 ปีก่อน ชายร่างอวบคนหนึ่งเคย “ลาออก” ไปปั่นนำเทรนด์คนไทยทั้งประเทศมาแล้ว!! ถ้ายุคนี้เห่อนิ้วกลมกัน ยุคเราต้องเห่อพี่จุ้ย เพลงดาบฯ และบินหลา ชายผู้ทำความฝันให้เป็นความจริงได้ด้วยการปลดเปลื้องพันธนาการตามขนบสังคมเมือง บ้าน รถ และงานประจำ ความฝันที่ใครๆ ก็อยากละทิ้ง ไปมีชีวิตตามใจต้องการ หลายคนฝัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำสำเร็จ บินหลา สันกาลาคีรี ทำให้เราดูแล้ว บินหลาไม่ใช่คนที่ขี่จักรยานเก่ง ไม่ใช่คนที่มีแรงบันดาลใจแก่กล้า เป็นแค่คนธรรมดาที่ฝันสูง แล้วก็กลับกลัวที่จะทำตามฝันนั้น เหมือนคนทั่วๆ[…]

เรื่อง สิ้นแสงฉาน (Twilight over Burma : My life as a Shan Princess) ผู้แต่ง Inge Sargent ผู้แปล มนันยา สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 240 บาท เรื่องราวเริ่มต้นคล้ายเทพนิยาย เมื่อเจ้าชายต่างแดนจากอุษาคเนย์ผู้ปิดบังฐานะตนเองได้เข้าศึกษาในสาขาวิศวกรรมเหมืองแร่ในอเมริกา เจ้าชายพระองค์นั้นได้พบรักกับนักศึกษาชาวออสเตรียนผู้มีนามว่าอิเง่ ซาเจ้น เธอรื่นเริง เป็นมิตร แต่ก็สุขุม เยือกเย็น และนั่นทำให้เขาตกหลุมรักเธอ ความรักของหนุ่มสาวค่อยๆ บังเกิด และเติบโต จนกระทั่งในวันหนึ่งเขาก็ตัดสินใจขอเธอแต่งงาน การตกลงปลงใจแต่งงานในครั้งนี้ หมายความว่าเธอจะต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปแสนไกล ไปยังดินแดนฝั่งตะวันออกไกลที่เธอไม่เคยรู้จัก .. แม้จะน่าหวาดหวั่น แต่เธอก็มั่นใจ และตกลงใจในที่สุด ใครจะรู้ว่า มันยังมีสิ่งที่เกินความคาดเดาของเธอไปมากกว่านั้นอีก เพียงเรือเดินสมุทรที่เธอโดยสารมาเข้าเทียบท่าที่ย่างกุ้ง เธอก็ได้รับรู้ความจริงอีกอย่างว่า แท้จริงแล้วสามีของเธอคือเจ้าฟ้าไทยใหญ่จากเมืองสีป่อ แห่งรัฐฉาน! เทพนิยายเรื่องนี้คือเรื่องจริง .. และมันเพิ่งเริ่มต้น!! เราหยิบเล่มนี้มาอ่านต่อจากทวิภพในคราแรกเพราะเข้าใจว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน คือยุคสมัยในรัชกาลที่ ๕[…]

เรื่อง ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกตผู้แต่ง วีรพร นิติประภาสำนักพิมพ์ มติชนราคา 180 บาท เป็นเพราะคำนำแท้ๆ ที่ทำให้เราอ่านนิยายเล่มนี้ได้ไม่เหมือนเล่มอื่นๆ อ่านไป ก็ระแวงไปว่าแท้จริงแล้วผู้เขียนหมายความตามตัวอักษรหรือเปล่า มีอะไรสอดแทรกระหว่างบรรทัดและช่องไฟไหม .. อาจจะมี แต่ที่เราคิดจะตรงกับที่ผู้เขียนคิดหรือ? หรือแท้จริงแล้วนิยายทุกเรื่องมี หากเพียงแต่เรา “ขบคิด” ? เหตุการณ์บางเหตุการณ์ก็เกิดซ้ำกันกับอีกหลายต่อหลายครอบครัว แต่ผลกระทบจากมันต่างหาก ที่ส่งผลไม่เหมือนกัน นิยายเรื่องนี้ “จงใจ” เศร้าเกินไป เป็นเศร้าด้วยภาษาสละสลวย เป็นความสุขที่ได้เศร้าไปกับภาษาสวยๆ นั้น .. ความขาดของชลิกาและชารียา กับความเหงาของปราณ ถูกบรรยายเอาไว้ด้วยภาพชีวิตวัยเด็กของทั้งสอง ไม่รู้ทำไม อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงเด็กหญิงกะทิ (ในความสุขของกะทิ) แต่ยกให้กะทิเป็นด้านสว่าง ในขณะที่ชลิกา ชารียา และปราณเป็นโลกมืด .. ต่างมุมของเรื่องราวเดียวกัน .. เป็นกะทิในเวอร์ชั่นที่เขียนโดยมูราคามิ .. เรารู้สึกอย่างนั้น ชารียา เด็กผู้หญิง .. ผู้หญิง ที่ทำชีวิตธรรมดาๆ ของตัวเองให้ยาก ชีวิตที่มีความสุขอยู่เพียงแค่เอื้อม แต่กลับปิดกั้น และไขว่คว้า[…]

เรื่อง จิตกาธาน ผู้แต่ง สรจักร สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 210 บาท เราอ่านจิตกาธานครั้งแรกตอนเรียนมหาวิทยาลัย จำได้ว่าหลังอ่านจบ เรายังหลอนติดต่อกันไปอีกหลายวัน แม้มันจะมิใช่นิยายผีแต่ประการใด อ่านหนังสือเล่มนี้จบในครั้งนั้น ก็คืนหนังสือให้แก่ร้านหนังสือที่เราเช่ามาอ่านตามปกติ แต่ก็ยังอดคิดถึงจิตการธานอยู่เรื่อยๆ ประทับใจยืนยาวมาหลายปี พอเติบโต เริ่มมีกำลังทรัพย์ และเริ่มสะสมหนังสืออย่างเป็นล่ำเป็นสันยิ่งขึ้น เรากลับหาจิตกาธานไม่พบอีกเลย จวบจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ สำนักพิมพ์มติชนได้หยิบจิตการธานกลับมาพิมพ์ซ้ำอีกครั้ง และเราก็รีบแสดงความเป็นเจ้าของทันทีหนึ่งเล่ม .. และหนังสือเล่มที่ว่านั้น ก็เริ่มปลุกความหลอนของเราขึ้นอีกรอบ “ยิ่งดำดิ่งลงไปค้นหาต้นเหตุและพัฒนาการของความผิดปกติในจิตมากเท่าใด เราก็จะยิ่งค้นพบความเกี่ยวพันระหว่างโรคกับผลผลิตอื่นๆ อันเกิดจากการทำงานภายในสมองมนุษย์มากเท่านั้น เราต้องยอมรับความจริงไว้เสมอว่า ระหว่างอารยธรรมอันสูงส่ง กับความกดดันที่มนุษย์เผชิญในสิ่งแวดล้อมที่เป็นจริง มนุษย์ไม่เคยพอใจสภาพที่ดำรงอยู่ เขาจึงจำต้องสร้างจินตนาการแบบตนถึงพอใจเก็บไว้ในใจเสมอ เพื่อเป็นการชดเชยสิ่งที่ขาดไป เป็นการตอบสนองความสุขทางใจ แม้จินตนาการจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่สิ่งเพ้อฝันเหล่านี้ยังประกอบด้วยความจริงบางประการ ที่เป็นองค์ประกอบของบุคลิกภาพของบุคคล และมีแนวโน้มของความเป็นจริงที่ถูกเก็บกดไว้ ผู้ที่ขยันขันแข็งและประสบผลสำเร็จ คือผู้ที่รู้จักแปลงจินตนาการเพ้อฝันเหล่านี้ให้กลายเป็นจริงด้วยการทำงาน ส่วนผู้ที่อ่อนแอไม่สามารถเผชิญปัญหาอุปสรรคภายนอกก็จะยึดติดอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ กลายเป็นคนที่มีความคิดฟุ้งซ่าน เขาจะเชื่อมโยงจินตนาการเข้ากับความเป็นจริง (จนไม่อาจจำแนกจากกันได้) และถอยหลังกลับสู่วัยเด็ก …”                                                                                                           […]