อ่านแล้วเล่า

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย

เรื่อง ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย
ผู้เขียน ฮารูกิ มูราคามิ
ผู้แปล นพดล เวชสวัสดิ์
สำนักพิมพ์ กำมะหยี่
เลขมาตรฐานหนังสือ 9789741090341

หนึ่งนั้นดับสลาย
อีกหนึ่งนั้นยั้งหยุดนิ่ง
แต่อีกหนึ่ง พยายามอย่างยิ่งที่จะก้าวต่อไปเบื้องหน้า

มันเริ่มต้นขึ้นแบบนั้น

norwegian wood เป็นหนังสือเล่มที่สามของมูราคามิที่เราอ่าน
เล่มแรกคือ after the quake เล่มที่สองคือเรือเชื่องช้าสู่เมืองจีน
ซึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นทั้งสองเล่ม .. จึงนับได้ว่านี่เป็นนิยายเล่มแรกของเขาที่เราอ่าน
นั่นหมายถึงการอ่านรอบแรกนะ (เมื่อปี พ.ศ. 2552)

ตอนที่อ่านรอบแรก มันเริ่มต้นอย่างเละเทะมาก
เต็มไปด้วยความคาดหวัง ตามมาด้วยงุนงง .. นี่มันอะไรกันฟระ!!
มันไม่ใช่เรื่องที่แย่ แต่เราไม่อิน และมันไม่ใช่ความสนุกในแบบของเรา
เรียกได้ว่าไม่มีประสบการณ์ร่วม ไม่สามารถเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครได้

หลังวันวาเลนไทน์หนึ่งวัน
เราถือ ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย ไปอ่านที่เชียงดาว
ในทริป #อ่านเถิดหนา ของ the cloud
ค่าย อ่านเถิดหนา ทำให้หนังสือเล่มนี้เกิดใหม่ในใจเรา

ทุกครั้งที่เราเสิร์ชหาข้อมูลของหนังสือของมูราคามิในโลกโซเชียล
(จริงๆ มันก็นานมาแล้วนะ เดี๋ยวนี้เราเลิกเสิร์ชหารีวิวหนังสือของมูราคามิไปนานแล้ว)
สิ่งที่เราค้นพบคือ มีแต่ผู้คนนิยมชมชอบ ชอบอะไรก็บอกกันไม่ได้ถนัดนักด้วย
มีแต่ภาพมัวๆ หม่นๆ กับอารมณ์เหงาๆ
น้อยครั้งที่จะได้ยินเสียงบ่นว่าไม่ชอบ หรืออ่านไม่รู้เรื่อง
บางครั้งก็มีคนจากสองฝ่ายมาถกกันบ่อยๆ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราไม่ชอบหนังสือของมูราคามิ
อาจเป็นเพราะแฟนคลับของเขาบางคน
ทำตัวสูงส่งเหลือเกินที่ตนอ่านหนังสือของเขารู้เรื่อง
และบางที การอ่านมูราคามิไม่รู้เรื่อง ก็กลายเป็นปมให้เหยียดกันด้วย
การอ่านหนังสือของมูราคามิ กลายเป็นความเท่อย่างหนึ่ง เป็นแฟชั่นอย่างหนึ่ง
บางทีเราอาจจะคิดไปเอง .. บางทีเราอาจจะอคติไปเอง ..

แต่ในค่ายอ่านเถิดหนา เมื่อเราบอกใครๆ ว่าเราอ่านหนังสือเล่มนี้
มีคนเดินเข้ามาบอกเราเยอะมากว่าอ่านไม่รู้เรื่องเลย
อ่านหนังสือของมูราคามิไม่ได้เลย ฯลฯ
บางคนอ่านนิยายได้ แต่ก็อ่านเรื่องสั้นไม่ได้บ้าง
พบเพียงสองคนที่ชอบเรื่องสั้นของมูราคามิ ..
แต่ที่แน่ๆ คนอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่เก็ทอย่างเรา กลายเป็นคนส่วนมากไปเลย
มันคล้ายกับการได้รับชัยชนะเล็กๆ เหมือนเรามีที่ยืน

เมื่อเราได้ทลายกำแพงบางอย่างในใจตัวเองลงไปแล้ว
เราก็ค่อยๆ อ่านหนังสือเล่มเดิมต่อไป .. อย่างสบายอกสบายใจมากขึ้น

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย
มันเริ่มต้นคล้ายๆ รักสามเส้าแต่ไม่ใช่เรื่องราวสามเส้า
รักสามเส้ามันเป็นเพียงแค่จุดกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด
จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของความรู้สึก และคนที่จมอยู่ในนั้นมากกว่า

หยิบมูราคามิมาอ่านรอบสองนี้ เรารู้เสียแล้วว่ามันเป็นอย่างไร
ก็อ่านไปเรื่อยๆ ไม่บวกไม่ลบ
เวลาที่เราอ่านอย่างไม่คาดหวัง ไม่อคติ
มันก็จะได้เห็นแง่มุมอื่นๆ ที่เวลาเราอ่านอย่างมีกำแพงในใจ เราจะมองไม่เห็น

เมื่อเริ่มอ่าน เราว่าหนังสือของมูราคามิมีอิทธิพลรุนแรงต่อผู้ที่มีประสบการณ์ร่วม
แต่ไม่เปิดโอกาส ไม่วาดภาพ ไม่ดูดดึงเอาคนนอกวงประสบการณ์ –
ให้จมลึกลงไปในความรู้สึกแบบนั้นด้วย
รู้ว่าเศร้า แต่เราไม่อินกับความเศร้านั้น ..
เป็นความรู้สึกเมื่อผ่าน 50 หน้าแรกไป

ตัวละครของเขาเเหงา โดดเดี่ยว มีปัญหา หรือมีปมเกี่ยวกับความรัก
และจมดิ่งอยู่ในมวลอารมณ์นั้น
ผลงานของเขาก็เหมาะกับคนแบบเดียวกันกับตัวละครเหล่านี้
ซึ่งคนส่วนมากในยุคนี้ก็เป็นแบบนี้ หรือไม่ก็บอกตัวเองว่าตนเป็นแบบนี้
เหงา หว่อง โลกส่วนตัวสูง ฯลฯ
แต่งานของเขาก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน .. ไม่ใช่ทุกคนที่อินกับอารมณ์แบบนี้

เมื่ออ่านได้ 100 กว่าหน้า เรารู้สึกดีขึ้น
อย่างน้อยก็เจอตอนที่ชอบแล้ว
คือตอนที่วาตานาเบะมาเยี่ยมนาโอโกะที่บ้านพักของผู้ที่มีการป่วยทางจิตในหุบเขา
ที่บ้านพักมีกฏว่าห้ามคนไข้และผู้ป่วยอยู่กันตามลำพัง
ตอนที่เราชอบคือจังหวะที่นาโอะโกะแอบมาหาวาตานาเบะก่อนเวลาเล็กน้อย
เธอมานอนและซุกหน้าลงบนไหล่ของวาตานาเบะที่กำลังนอนเล่นอยู่
กอดกันนิ่งๆ อยู่แป๊บนึงแล้วก็จากไป
หลังจากนั้นวาตานาเบะก็หลับไป เป็นหลับลึกครั้งแรกในรอบหลายปี
เราเริ่มมองเห็นว่าตัวละครมันมีปมเดียวกันนะ
คือรู้อยู่แล้วแหละว่าเขามีปม แต่เราเพิ่งสัมผัสได้ ผู้เขียนได้แสดงให้เราเห็นแล้ว
และผู้มีแผลสองคน ก็สามารถเยียวยากันด้วยภาษากายน้อยแต่มากนั้น
(จริงๆ หลังจากนั้นก็เริ่มมีตอนที่ชอบอีกหลายตอนนะ โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ)

ยกตัวอย่างอีกสักตอน ..
ตอนที่นาโอโกะบอกว่ามิโดริรักวาตานาเบะ
และเรโกะบอกว่า เธอก็รักเขาเหมือนกัน
เราก็เพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า
เออว่ะ วาตานาเบะก็มีมุมน่ารักอยู่จริงด้วย
เขามีนิสัยที่น่าที่จะรักได้ ..
อย่างที่เราไม่เคยมองเห็นมาก่อนตอนที่อ่านรอบแรก
(และอ่านไม่จบด้วย .. ตอนนั้น เราเกือบอ่านมาถึงแถวนี้แล้วเชียว
แต่ทนไม่ได้เสียก่อน (มันคือประมาณร้อยหน้าสุดท้ายอ่ะ!!))
สำหรับเรา เมื่อคนอ่านสามารถที่จะรักตัวละครในเรื่องได้
หนังสือเล่มนั้นก็ประสบความสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว

สิ่งหนึ่งที่ทำให้การอ่านครั้งนี้ออกมาดีกว่าเดิมก็คือ
เกือบตลอดการอ่าน เราได้พูดได้ฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆ ในค่ายหลายคน –
ที่เคยอ่านเรื่องนี้แล้วชอบ ไม่ชอบ
หรือเคยอ่านงานเล่มอื่นๆ ของมูราคามิแล้วชอบ ไม่ชอบ
ได้แลกเปลี่ยนความคิดว่ารู้สึกอย่างไร คิดเห็นอย่างไร
ได้วิเคราะห์ตัวละคร ฯลฯ ซึ่งมันทำให้เราอ่านได้ละเอียดขึ้น คิดมากขึ้น และลึกซึ้งขึ้น
ได้เข้าใจตัวละครมากขึ้น เข้าใจความปวดร้าวของตัวละครได้มากขึ้น

สำหรับคนอยากลองอ่าน ..
เราว่าเนื้องานของมูราคามิ 
มันแค่มีวิธีเล่าที่แปลกประหลาด
มีสถานการณ์ประหลาดเกิดขึ้นในเรื่อง
จนบางทีตรรกะในหัวก็ส่งเสียงร้องเตือนบ่อยๆ

(อย่างเช่นเกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านเพื่อนบ้านของมิโดริ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่เธอชวนวาตานาเบะมาเที่ยวบ้าน
ลองนึกดูว่าถ้ามีไฟไหม้ใกล้ๆ บ้านแบบลามมาถึงได้ เราจะทำยังไง?
สิ่งที่ทั้งสองคนทำคือ นั่งเล่นกีตาร์ ร้องเพลง แต่งเพลงบ้าๆ แล้วก็จูบกัน!!)

วิธีสำหรับคนอยากลองเริ่มอ่านมูราคามิก็คือ
เราแค่ตั้งสมาธิกับมัน ให้เวลาอ่านต่อเนื่องยาวนานสักหน่อย
อ่านโดยไม่
คาดหวังใดๆ และไม่ต้องไปตีความสัญลักษณ์อะไรมาก
ของแบบนี้ ถ้าเราจะเก็ท มันก็เก็ทเอง ถ้าไม่เก็ท ก็ช่างมันปะไร
ก่อนอ่าน จงมองมันเป็นเพียงนวนิยายเล่มหนึ่ง
อย่ามองเป็นงานอาร์ต งานคูล งานอินดี้ งานหว่อง ฯลฯ ใดๆ
มันเป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้น .. 
ประมาณนี้
เราก็ (น่าจะ) อ่านหนังสือของมูราคามิได้สนุกขึ้น
นี่มาจากประสบการณ์ตรงเลยนะ! ;P

สำหรับสำนวนแปล ตอนแปลบทบรรยายที่ใครว่าเวิ่นเว้อ เราว่าไม่เท่าไรนะ
แต่ที่ขัดหูสุดๆ คือการแปลบทสนทนาของผู้หญิง
หลายครั้ง สำนวนสำเนียงมันไม่ใช่ผู้หญิงเอาเสียเลย
และแม้แต่บทสนทนาของผู้ชาย บางครั้งมันก็ไม่เป็นธรรมชาติ
คนธรรมดาจะไม่พูดกันอย่างนี้ ..
แต่ก็ช่างเถอะ อ่านเรื่องนี้อย่าไปถืออะไรมาก อ่านไปเรื่อยๆ
ถ้าตั้งแง่ตั้งแต่แรก อาจจะอ่านไม่จบเหมือนเรา (ตอนอ่านรอบแรก!)

และแล้วในการอ่าน ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย รอบสองนี้
เราอ่านสามารถอ่านมันจนจบ (ซะที!!)
อ่านจบแล้วบอกกันตัวเองได้ว่า ..
มันไม่ใช่หนังสือแบบที่เราจะชอบตั้งแต่ตอนเริ่มอ่าน
แต่มันก็พอจะเป็นหนังสือที่เราชอบได้ .. เมื่ออ่านจบ

 

Comments are closed.