อ่านแล้วเล่า

โดรายากิ ขนมนี้ทำด้วยใจ

เรื่อง โดรายากิ ขนมนี้ทำด้วยใจ
ผู้แต่ง Durian Sukegawa
ผู้แปล ธีราภา ธีรรัตนสถิต
สำนักพิมพ์ Maxx Publishing
เลขมาตรฐานหนังสือ 9786163711168

สึจิอิ เซ็นทาโร่ เป็นผู้จัดการร้านโดรายากิที่ชื่อว่า โดราฮารุ
เขาเป็นทั้งผู้จัดการ และพนักงานคนเดียวในร้าน
มีหน้าที่ทำขนมโดรายากิ และเปิดขายในตอนสายๆ ของทุกวัน
ร้านโดราฮารุ เป็นร้านขนมธรรมดาๆ
และเซ็นทาโร่ก็ทำขนมแบบขอไปที
เขาใช้วัตถุสำเร็จรูป และไม่เคยใส่ใจในขนมที่ตัวเองขาย
จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง ..
วันที่มีคุณยายประหลาดอายุ 76 ปี มาของานในร้านขนม

คุณยายโยชิอิ โทคุเอะ มาตื้อทุกวัน จนเซ็นทาโร่ต้องยอมรับเธอเข้าทำงาน
และนับตั้งแต่วันนั้น ร้านโดราฮารุก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

จุดเหมือนกันของตัวละครที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง
อย่างตัวละครชายที่ทำหน้าที่ขายขนมไปวันๆ
แต่มีเบื้องหลังที่ไม่อาจบอกใครได้
กับคุณยายที่เคยป่วยเป็นโรคร้าย ซึ่งไม่อาจบอกได้แม้แต่ชื่อโรค
การถูกจองจำอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ในระยะเวลาหนึ่ง
จุดร่วมเพียงเล็กน้อยนี้เอง ที่เชื่อมโยงคนทั้งสองให้เข้าหากัน

หนังสือเรื่องนี้ออกจะหดหู่กว่าที่คิด
เนื้อเรื่องนั้นไม่เท่าไร แต่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคร้าย
ที่ผู้เขียนแทรกเข้ามาในเรื่องนั้น มันชวนให้หดหู่ไม่น้อย

โดรายากิ ขนมนี้ทำด้วยใจ มีพล็อตเรื่องค่อนข้างชัดเจน
ผู้เขียนมีข้อความที่ต้องการจะสื่อถึงผู้อ่านอยู้แล้ว ..
และให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นมากจนลดทอนรายละเอียดของตัวละครออกไป
ในฐานะคนอ่าน เราไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละครมากเท่าไร
ก็เลยไม่ค่อยจะเข้าถึงความรู้สึกที่ผู้เขียนต้องการจะพาเราไป

ในตอนเริ่มต้นนั้น ผู้เขียนทำได้ดีทีเดียว
มีชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่ซับซ้อน
ระหว่างเล่าเรื่องหนึ่งไปเรื่อยๆ
อีกหนึ่งเรื่องอันเป็นเบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละครก็ค่อยๆ เปิดเผยออกมา
เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ทว่าน่าสนใจ ชวนให้ติดตาม

แต่หลังจากนั้น เรารู้สึกว่าตัวละครไม่ก้าวหน้าไปไหน
ปมที่เผยเอาไว้นิดๆ ก็มีอยู่เพียงเท่านั้น
เรื่องราวย่ำซ้ำอยู่กับที่ ผู้เขียนเบี่ยงประเด็นไปยังเรื่องอื่น
ปล่อยปมที่เปิดทิ้งค้างไว้อย่างนั้น

เราอาจจะคาดหวังกับหนังสือเล่มนี้มากไปหน่อย
เพราะได้ยินคำชมมามาก ก่อนจะตัดสินใจซื้อและอ่าน
 โดรายากิ ขนมนี้ทำด้วยใจ มีโทนเรื่องที่ค่อนข้างหนัก
เมื่อเทียบกับวรรณกรรมญี่ปุ่นเล่มอื่นที่เราอ่านในช่วงนี้

สิ่งที่เราได้รับจากผู้เขียน มีเพียงถ้อยคำที่ว่า
เป้าหมายในชีวิตนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการมีชีวิตอยู่หรอก
จงมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จเสียทีก็ตาม?

ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีบางเด็นน่าสนใจ ที่ถูกเล่าถึงในหนังสือเล่มนี้
เราชอบเรื่องที่ผู้เขียนเล่าถึงการตั้งใจฟัง

ในขณะที่ต้องอยู่ ณ สถานที่หนึ่งมาเกือบชั่วชีวิต
สิ่งที่เยียวยาความรู้สึก คือการฟังสรรพเสียงของสิ่งรอบตัว
เสียงของลม เสียงใบไม้ เสียงสายน้ำ เสียงนก เสียงดวงดาว ฯลฯ
เสียงของฤดูกาล และเสียงที่เล่าเรื่อง .. ถ้าเพียงแต่เราเงี่ยหูฟัง

ในขณะเดียวกันนั้นเอง
อีกบางคน .. อีกหลายคน กลับไม่ฟังแม้แต่เสียงของผู้คนด้วยกัน
คำบอกเล่า การพูดคุย ความรู้สึก ความคิด ฯลฯ
เราปล่อยให้มันผ่านเลยไป เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ..
หรือไม่ก็เดินหนี ..

เสียดายที่ผู้เขียนพูดถึงประเด็นนี้ไม่สุด
จู่ๆ ก็ตัดทิ้งไป กลายเป็นเพียงความเชื่อของตัวละครเสียอย่างนั้น

ถ้าถามว่าเรารู้สึกอย่างไรกับหนังสือเล่มนี้
ชอบ .. ก็เป็นความชอบที่ไปได้ไม่สุด
เกลียด .. ก็ยังไม่มีสิ่งที่ทำให้รู้สึกเกลียดมันลง
คงจะเป็นเพียงความรู้สึกกลางๆ
อ่านก็ได้ คุณอาจจะชอบ
หรือเกิดความคิดดีๆ บางอย่างระหว่างที่อ่านมันก็ได้
แต่ถ้าไม่อ่าน ก็ไม่รู้สึกว่าพลาดอะไรไป

 

Comments are closed.