อ่านแล้วเล่า

ฉิบหาย ประวัติศาสตร์มนุษยชาติฉบับวินาศสันตะโร

เรื่อง ฉิบหาย
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติฉบับวินาศสันตะโร
ผู้แต่ง ทอม ฟิลลิปส์
ผู้แปล คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์
สำนักพิมพ์ บุ๊คสเคป
เลขมาตรฐานหนังสือ 9786168313305

ภาษาสนุก วัยรุ่นจ๋า อ่านเพลิน
เป็นการเล่าประวัติศาสตร์ที่ขับเคลื่อนไปด้วย
อารมณ์ขันและความกวนประสาท
มีแง่มุมประวัติศาสตร์ตะหวักตะบวย
ซ่อนอยู่ในประวัติศาสตร์ด้านดี นับไม่ถ้วน
ผู้เขียนทำการกระเทาะ ร่อน ฝัด สะบัด กรอง มันออกมา
คัดเฉพาะด้านฉิบหาย เนื้อๆ เน้นๆ

เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่เริ่มเล่ากันตั้งแต่เอปรุ่นคุณลูซี่เลยทีเดียว
ความฉิบหาย มันเริ่มตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ของบรรพบุรุษเรา
มันเริ่มตั้งแต่วิธีการทำงานของทฤษฎีวิวัฒนาการ
ที่ไม่ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอนาคต
แต่มันแค่ดีกว่าเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ เพียงนิดหน่อย
เราผ่านพ้นขั้นตอนอันหวุดหวิดนั้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า
จนมาเป็นเราในทุกวันนี้
ไม่ใช่เราที่ดีที่สุด .. แต่แค่เป็นเรารอดมา

ยิ่งอ่าน ยิ่งผะอืดผะอมในความเป็นมนุษย์
เราสร้างความฉิบหายกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
ตั้งแต่มีคนริเริ่มเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
จากการอพยพหาอาหาร มาตั้งหลักแหล่งเพื่อเพาะปลูก
เรานำพืชเอเลี่ยนมาปลูกนอกธรรมชาติของมันกันมาตั้งแต่บัดนั้น
เรานำสัตว์เอเลี่ยนข้ามท้องถิ่นในเวลาต่อมา
เราเปลี่ยนทิศทางการไหลของสายแม่น้ำ 
เพื่อการเกษตรที่ไม่ประสบผลสำเร็จ .. จนทะเลสาบแห้งเหือด
เราแทรกแทรงธรรมชาติ ยึดอำนาจพระเจ้า

เกษตรกรรมเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
เมื่อมนุษยชาติก้าวเท้าสู่โลกของอุตสาหกรรม
ความฉิบหายก็มาเยือนมากขึ้นเป็นทวีคูณ

อุตสาหกรรมทำให้แม่น้ำลุกเป็นไฟ!!
เป็นการลุกเป็นไฟแบบไม่ใช่อุปมา
แต่หมายถึงลุกเป็นไฟจริงๆ
ปริมาณสารเคมีเข้มข้นที่ถูกถ่ายทิ้งลงตลอดสายแม่น้ำ
แม่น้ำกลายเป็นท่อน้ำทิ้งขนาดใหญ่ 
ที่ถูกเคลือบผิวหน้าเอาไว้ด้วยคราบน้ำมัน
และเมื่อคราบน้ำมันติดไฟ 
แม่น้ำทั้งสายก็คือเชื้อไฟที่ส่งต่อเปลวเพลิงขึ้นบก
อย่างรวดเร็วและรุนแรง

แต่ขยะในแม่น้ำ หรือจะสู้ขยะในทะเล
เพียงมนุษย์ก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรมเพียงเสี้ยวเวลาในไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์โลก
เราก็สร้างขยะมหาศาล
ขยะอินเทรนด์แห่งยุค คือขยะพลาสติก และขยะอิเล็กทรอนิกส์
เหนือไปกว่าขยะเหล่านี้ เรายังมีขยะแห่งอนาคต
คือขยะจากเศษซากยานที่เราทิ้งเคว้งคว้างเอาไว้ในอวกาศ .. รอวันมันแสดงผล

มนุษย์ช่างรักษามาตรฐาน
ในการเป็นเจ้าแห่งการทำลายล้างจริงๆ

นอกจากกระทำกับสิ่งแวดล้อม มนุษย์ยังกระทำกับมนุษย์ด้วยกันเอง
ต้นตอแห่งการเหยียดผิว และเหยียดคนที่แตกต่างอีกมากมาย
ถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม
มนุษย์สร้างความชอบธรรมให้กับการยึดครอง “บ้าน” ของคนอื่น
ยัดเยียดข้อหาว่าเขาป่าเถื่อน ไม่พัฒนา ผิวสี ฯลฯ
เหมาะสมแล้วที่จะเป็นทาส!

สำหรับเรา เราว่าความสนุกของหนังสือเล่มนี้ ลดน้อยลงนิดหน่อยในช่วงกลางเล่ม
ความดุเด็ดเผ็ดมันในช่วงต้นลดลง
และตัวอย่างที่ถูกหยิบยกมาเล่าค่อนข้างแคบ
อย่างตอนเล่าถึงผู้นำ ก็แทบจะเหมาออตโตมันไปกว่าครึ่ง
นอกจากนั้น หลายตัวอย่างยังไม่ “โดน” เท่ากับที่คาดหวังไว้
ตัวละครเด่นๆ ในประวัติศาสตร์ ยังไม่ถูกหยิบมาขยี้เท่าไร
บางทีอาจขึ้นอยู่กับความคาดหวังของเราเองด้วยแหละ

แต่ .. แบบนี้ก็ทำให้ได้อ่านอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ดี
อะไรที่เคยรู้สึกแย่กับประเทศตัวเอง
ก็เบาใจขึ้นที่ประเทศอื่นเขาก็เคยวิปริตฉิบหายกันมาไม่ต่างกัน
(มันใช่เรื่องที่เราควรโล่งใจจริงๆ ใช่ไหม?)

ในบทที่เล่าถึงบุคคลอันเป็นผู้นำในส่วนต่างๆ ของโลก
หลายกรณี เราว่ามันออกจะเป็นการกล่าวหาเกินไปอยู่สักหน่อย
ที่จะมาตัดสินว่า การตัดสินใจใดๆ ในประวัติศาสตร์คือหนทางที่ผิด
เพราะกว่าที่เราจะบอกได้ว่าผิดหรือถูก
เราอาจต้องรอดูผลของมันหลังจากนั้นอีกหลายสิบปี
และแทบทุกคน ก็มักจะคิดว่าตัวเองได้เลือกหนทางที่ดีที่สุดในตอนนั้นแล้ว
จริงอยู่ ที่บางการตัดสินใจมันก็ชวนวายป่วงจริงๆ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

พอผู้เขียนโน้มน้าวเราไม่ได้เต็มร้อย เราก็เริ่มฉุกคิดขึ้นมาว่า
เพราะชื่อหนังสือจั่วหัวเอาไว้แล้วด้วยคำว่าฉิบหาย
เนื้อหาภายในเล่มจึงไม่ได้มองรอบด้านและครอบคลุมเท่าไรนัก
มันออกจะโน้มน้าว และมองด้านเดียว
คือด้านที่นำพาบุคคลต่างๆในประวัติศาสตร์ไปสู่ความฉิบหาย
ในกรณีที่เราไม่รู้จักคนคนนั้น เราก็ได้รับรู้ รู้จักเขาในแง่มุมหนึ่ง
ถึงอย่างไรเราก็ต้องฟัง (อ่าน) หูไว้หู
เพราะในกับบางกรณี บางคนที่เรารู้จัก
มันก็ออกจะตะหงิดๆ อยู่บ้างที่ได้รู้จักเขาคนนั้นเพิ่มขึ้นในแง่มุมแห่งความฉิบหาย
และเรารู้ว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมดของเขา

ในช่วงท้ายๆ ผู้เขียนเล่าถึงเทคโนโลยีในด้านต่างๆ รวมถึงสาธารณสุข
เล่าถึงนักวิทยาศาสตร์ที่ซื้อได้ด้วยเงิน
ระบอบทุนนิยมที่สร้างความชอบธรรมให้กับสารพิษ
ซื้อความถูกต้องจากระบบสาธารณะสุข
และใช้มันในผลิตภัณฑ์ของพวกเขา
เพื่อผลประโยชน์เป็นจำนวนเงินมหาศาล
ที่มองมุมไหนก็ไม่คุ้มเลย
กับสุขภาพ กับชีวิต และกับสิ่งแวดล้อมที่เสียไป

เราได้ยินเรื่องพวกนี้บ่อยๆ ถ้าเราอยู่มานานพอ
การกินน้ำมันหมู เคยเป็นเรื่องดี เคยเป็นเรื่องเลวร้าย
และกลับกลายเป็นเรื่องดีอีกครั้ง
เช่นเดียวกับการกินไข่ดิบ
บางช่วงชีวิตเราจะได้รับคำอธิบายว่ามันดี แต่ในบางช่วงก็บอกว่ามันส่งผลเสีย

มนุษย์ไม่ได้ค้นพบผลการทดลองใหม่ที่ทำให้ต้องพลิกผันคุณค่าของพวกมัน
พวกเขาแค่พลิกลิ้นตามผลประโยชน์ของทุนนิยม
ไม่ต้องอะไรมาก
แค่ดูจากการที่คนสาธารณสุขให้ค่าวัคซีนป้องกันโควิด – 19 บางยี่ห้อ
มันก็ดูจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
สุขภาพคนเราขึ้นอยู่กับอะไรแบบนี้แหละ

ตลอดช่วงเวลาที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
มนุษย์เรายังคงทำผิดในเรื่องเดิมๆ
ที่ถูกลอกคราบ เปลี่ยนองค์ประกอบ เปลี่ยนฉากหลัง เปลี่ยนตัวละคร
แต่โครงสร้างเหล่านั้นก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆ
วัฏจักรยังคงหมุนวน และมนุษย์ยังคงเหมือนเดิม

หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าเหนื่อยใจของมนุษย์
และบางที เราก็ต้องยอมรับตามตรงว่า
ในความเป็นมนุษย์ของเรา
เราก็มีส่วนร่วมในการสร้างความน่าเหนื่อยใจพวกนั้นด้วย
หนังสือเล่มนี้ทำให้เราตระหนัก และไปต่อถึงคำว่าสะพรึง
อยากให้ผู้คนได้อ่านและได้สะพรึงโดยถ้วนทั่วกัน
เผื่อจะเกิดแรงขับเคลื่อนแห่งการแก้ไข
ที่จะไม่ไปสร้างความฉิบหายเพิ่มเติม .. อย่างที่แล้วๆ มา
(แม้บางเรื่องจะอยู่เหนือการควบคุมของพวกเราน่ะนะ)

 

Comments are closed.