ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต
เรื่อง ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต
ผู้แต่ง วีรพร นิติประภา
สำนักพิมพ์ มติชน
ราคา 180 บาท
เป็นเพราะคำนำแท้ๆ ที่ทำให้เราอ่านนิยายเล่มนี้ได้ไม่เหมือนเล่มอื่นๆ
อ่านไป ก็ระแวงไปว่าแท้จริงแล้วผู้เขียนหมายความตามตัวอักษรหรือเปล่า
มีอะไรสอดแทรกระหว่างบรรทัดและช่องไฟไหม ..
อาจจะมี แต่ที่เราคิดจะตรงกับที่ผู้เขียนคิดหรือ?
หรือแท้จริงแล้วนิยายทุกเรื่องมี หากเพียงแต่เรา “ขบคิด” ?
เหตุการณ์บางเหตุการณ์ก็เกิดซ้ำกันกับอีกหลายต่อหลายครอบครัว
แต่ผลกระทบจากมันต่างหาก ที่ส่งผลไม่เหมือนกัน
นิยายเรื่องนี้ “จงใจ” เศร้าเกินไป เป็นเศร้าด้วยภาษาสละสลวย
เป็นความสุขที่ได้เศร้าไปกับภาษาสวยๆ นั้น ..
ความขาดของชลิกาและชารียา กับความเหงาของปราณ ถูกบรรยายเอาไว้ด้วยภาพชีวิตวัยเด็กของทั้งสอง
ไม่รู้ทำไม อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงเด็กหญิงกะทิ (ในความสุขของกะทิ)
แต่ยกให้กะทิเป็นด้านสว่าง ในขณะที่ชลิกา ชารียา และปราณเป็นโลกมืด .. ต่างมุมของเรื่องราวเดียวกัน ..
เป็นกะทิในเวอร์ชั่นที่เขียนโดยมูราคามิ .. เรารู้สึกอย่างนั้น
ชารียา เด็กผู้หญิง .. ผู้หญิง ที่ทำชีวิตธรรมดาๆ ของตัวเองให้ยาก
ชีวิตที่มีความสุขอยู่เพียงแค่เอื้อม แต่กลับปิดกั้น และไขว่คว้า เสาะหาสิ่งที่ตรงกันข้าม
เก็บงำความทุกข์ของตนเองไว้ดั่งของสะสมล้ำค่า
มนุษย์เรา บางทีก็เป็นเช่นนั้น หลงทางทั้งๆ ที่ตาบอด .. อยู่ในเขาวงกต
ความรักวกวนเหมือนงูกินหางของคนที่อยู่ในโลกฝัน
สุขแบบฝันๆ และเศร้าแบบฝันๆ โดยไม่เคยรู้รสชาติของความจริง
โรแมนติคบนความเหงาอันสละสลวย
เป็นหนังสือแนะนำให้ฟังดนตรีคลาสสิคขั้นต้น ฟังง่ายสำหรับมือใหม่ (หูใหม่)
โดยตัวละครที่ชื่อว่าลุงธนิต เป็นครูที่ดีสำหรับเด็กๆ ที่ขาดไร้และคนอ่านอย่างเรา
ปกติการอ่านหนังสือไปฟังเพลงไปเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้ทำ
เพราะเนื้อเพลงมันมักจะตีกับเนื้อความในหนังสือยุ่งไปหมด
(เพลงคลาสสิคเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยผ่านเข้ามาในชีวิตเราอยู่แล้ว)
สิ่งที่เกิดกับไส้เดือนฯ เป็นอะไรที่ไม่ปกติ
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เราต้องเปิดเพลงฟังไปด้วย
ฟังเพื่อเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อ
เสิร์ช และฟัง จนทำเพลย์ลิสต์ในยูทูปเพื่อไส้เดือนตัวนี้จริงๆ .. ทุ่มเทเกิ๊น!!
(เลือกเพลงผิดพลาดประการใดก็ขออภัยนะคะ ไม่เข้าใจภาษาของเพลงคลาสสิคจริงๆ ^^”)
การอ่านหนังสือโดยเปิดเพลงคลาสสิคฟังไปด้วยทำให้มีสมาธิอย่างประหลาด
จิตไม่วอกแวกอย่างที่เป็นบ่อยๆ ในช่วงนี้
เมื่อสมาธิจดจ่อ ตัวหนังสือก็สนุกขึ้น ดื่มด่ำขึ้น ลึกซึ้งขึ้น
ลุงธนิต ชายผู้ซึ่งความฝันค่อยๆ สูญหาย
ผู้ซึ่งหลงลืมความบันดาลใจครั้งแรกที่ทำให้เขาเลือกหนทางเดินของชีวิต ..
การแห้งเหือดของความฝันเป็นโรคติดต่อ .. จากลุงธนิตมาสู่ชารียา
น้ำตาแรกของเราหยดลงที่ตรงนี้
ช่วงเวลาความสุขของชารียากับปราณในยามบ่ายวันจันทร์ เป็นช่วงเวลาที่รื่นรมย์ แสนสุข
จนยากจะเชื่อว่าคนที่สุขขนาดนี้จะมีความเหงาซึมลึกมากมายมหาศาล
หรือต้องเศร้าต้องเหงาอย่างล้นพ้นเสียก่อน จึงจะได้รับรู้รสชาติแห่งความสุขนั้น?
ความขาด การค้นพบ ได้รัก ได้สุข ทุกข์ จากพราก คิดถึง พยายามจะลืม และ … ลืม .
นิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นด้วย timeline ที่ผกผัน หลอกเราว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลัง
มันสลับบทสลับตอน ทำให้ลำดับเหตุการณ์ของเรื่องสับสน ซับซ้อนขึ้นไปอีก
แต่ก็สนุกดีไปอีกแบบที่จะคอยลำดับเรื่องราวเอาเองตามความพอใจ ;P
ความลับนิดๆ หน่อยๆ ทำให้เรื่องธรรมดาๆ โรแมนติค
อย่างที่บอก .. เป็นความโรแมนติคแบบเหงาๆ
และภาษาสวยๆ หลอกให้เราไม่เศร้าเท่าไร (แค่ซึมลึกๆ มึนๆ อึนๆ -*-)
การสลับซับซ้อนของแต่ละตอนนี่เอง ที่ทำให้บางตอนก็เหมือนไปคว้าเอาเรื่องสั้นที่ไหนสักเรื่องมาแปะคั่น
เป็นตอนที่บิดเกลียวบางสถานการณ์ และคลี่คลายบางสถานการณ์
ตอนหนึ่งที่เราชอบคือตอน “นางรำแห่งสายฝนพรำ”
ชอบความเกี่ยวโยง ความบังเอิญ ความเป็นไปของชีวิตและโลก
การจิกกัด เสียดสีสังคมเมือง ความเปราะบางของความสัมพันธ์ของคน
การเกาะเกี่ยวสัมพันธ์กันด้วยพันธะเปราะบางของมนุษย์เมือง
เชื่อมต่อกันไปเป็นอนันต์ หากไม่จีรังยั่งยืน
บ้างเหนียวแน่นจริงจังมั่นคง หากบ้างก็เป็นเพียงเยื่อใยเส้นบางๆ
พื้นฐานจิตใจอันอ่อนปวกเปียกของคนที่พร้อมจะยึดเหนี่ยวอะไรก็ได้ .. อย่างไร้สติ
ความเศร้าของเรื่องอยู่ตรงสิ่งที่ตัวละครลืม แต่คนอ่านยังจำ
เขาว่ากันว่าคนที่กำลังจะตายจะจำทุกอย่างในชีวิตได้
ไม่รู้อะไรเจ็บกว่ากัน ระหว่างความรู้สึกแบบที่คนใกล้ตายควรรู้สึก
กับความทรงจำ ความสุข ความเศร้า ความเหงา ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นตลอดทั้งชีวิตนั้น
.. หวนคืนในคราวเดียว ..
อ่านให้สนุกและมีความสุขแม้ในเรื่องเศร้า ถ้าอ่านแล้วเครียดต้องมาบังคับตัวเองให้ต้องขบคิดและตีความ
ก็อย่าไปบ้ากับมันเลย อ่านเอาเรื่องเปลือกๆ ไปอย่างเดียว
เดี๋ยวถ้ามันจะคิดจะขบจะพบอะไร มันก็เกิดขึ้นเอง .. ด้วยความสุข สนุกคิด สนุกขบค่ะ
Comments are closed.