เรื่อง ย่ำสวนป่า ผู้แต่ง รัศมี เบื่อขุนทด สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 105 บาท เรื่องนี้ถูกเล่าโดย “ผม” ตัวตนแห่งปัจจุบัน มองย้อนกลับไปเล่าถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของตัวเขาเอง สวนป่าในที่นี้คือบ้าน .. แห่งหนึ่งในชานเมืองกรุงเมื่อราวสามสิบปีก่อน บ้านที่ตั้งอยู่กลางสวนป่า .. ไม้ผล ก็เป็นไม้ป่า และสรรพสัตว์ ก็ล้วนแต่เป็นสัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยง อย่างเช่นไก่ป่า นานานก กระรอก กระแต ชะมด อีเห็น นิ่ม ฯลฯ สัตว์เลี้ยงสำคัญตัวเอกของเรื่อง เห็นจะเป็นจ่าฝูงไก่งวงประจำบ้าน ที่มีชื่อว่าเจ้าแดง (เดือด) เพราะมันไล่จิกไปเสียทุกคน (และทุกตัว) ไม่เว้นแม้แต่ลูกชายเจ้าของบ้านผู้เล่าเรื่องของมันให้เราฟัง (อ่าน) อยู่นี้ เจ้าแดง (เดือด) มีบทบาทสำคัญให้เล่าถึงอยู่หลายตอน และอีกหลายตอนก็เป็นวีรกรรมของอาของผู้เขียนเอง ทุกส่วนในทุกตอนปนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มและความทรงจำ ผู้เขียนเล่าด้วยสำนวนอารมณ์ดี ขำน้อยๆ แต่พองาม เป็นหนังสือที่อ่านได้เพลินๆ สนุก ขบขัน และเป็นสุข[…]

เรื่อง ลมแล้งเริงระบำ ผู้แต่ง จตุพร แพงทองดี สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 215 บาท ลมแล้งเริงระบำ เล่มนี้ เป็นเล่มต่อจาก โสกไผ่ใบข้าว สำหรับเรา เราว่าลมแล้งเริงระบำเล่มนี้ อ่านเพลินกว่าโสกไผ่ใบข้าวเล่มแรก บางทีอาจเป็นเพราะชินกับภาษา และชินกับตัวละครแล้ว จึงอ่านไปได้อย่างเพลิดเพลินขึ้น ถ้า โสกไผ่ใบข้าว คือภาพของความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินไทย ลมแล้งเริงระบำ คือก็อีกภาคหนึ่งของผืนแผ่นดินเดียวกันนั้น ผู้คนอันเป็นตัวละครดั้งเดิม ได้ผ่านฤดูอันชุ่มชื่นแห่งสายฝน ฤดูแห่งการทำนา และฤดูแห่งความอุดมสมบูรณ์มาแล้วในเล่มโสกไผ่ใบข้าว พวกเขาทั้งหมดไปล่วงผ่านเข้าสู่ฤดูแล้ง ด้วยความสุข สงบ เรียบง่ายได้ไม่แพ้กัน ปิดเทอมฤดูแล้งดำเนินไปอย่างช้าๆ เด็กๆ มีเรื่องให้เที่ยวเล่นเที่ยวซนได้ไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละวัน และเรื่องเล่นซนที่ว่า ก็ไม่ได้ซนกันเปล่าๆ แต่ได้พากันเลี้ยงวัว ได้เก็บผักเก็บหญ้าและขุดหาแมลงและสัตว์ขนาดเล็กไปให้แม่ทำกับข้าวได้อีกด้วย วิถีการดำเนินชีวิต วิถีการกิน เมนูอันแปลกประหลาด ที่ดูแล้วก็ไม่ได้เกิดจากความอดอยาก แต่เป็นวิธีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันกับคนภาคกลาง ชีวิตที่ผสมกลมกลืนเข้ากันกับธรรมชาติ กินอยู่คือกับสิ่งรอบตัว ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า และมีความสุขในสิ่งที่เป็น อาหาร วิธีหาอาหาร และวิธีทำอาหารที่เคยเล่าถึงในเล่มแรก[…]

เรื่อง โสกไผ่ใบข้าว ผู้แต่ง จตุพร แพงทองดี สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 200 บาท เลือกหยิบ โสกไผ่ใบข้าว มาอ่านต่อจาก บึงหญ้าป่าใหญ่ เพราะรู้สึกว่าสองเล่มนี้มีกลิ่นอายเดียวกัน .. กลิ่นอายของชนบท และกลิ่นอายของอดีต โสกไผ่ใบข้าว เป็นหนังสือที่ถือกำเนิดขึ้นจากความโหยหาอดีตของผู้เขียน ความงดงามของท้องทุ่งข้าว ความสมบูรณ์ของป่าไผ่ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ภาษาในเล่มนี้อ่านง่าย และดูคุ้นเคยมากกว่าบึงหญ้าป่าใหญ่  (ที่ต้องอ่านวาง อ่านวางเป็นระยะ) แต่ความขลังก็ลดลงตามกัน โสกไผ่ใบข้าว บอกเล่าความอุดมสมบูรณ์ของอาหารจากป่า เล่าผ่านสายตาของเด็กหญิงคำดั้ว ที่ซุกซนดั้นด้นไปยังที่ต่างๆ และบอกเล่าสู่เรา ด้วยภาษากลางกึ่งภาษาถิ่น (ภาคอีสาน) มีศัพท์เฉพาะภาษาถิ่น พร้อมด้วยชื่อในภาษากลางตามมาในวงเล็บครบถ้วน เหตุการณ์โดยตลอดเรื่องเกิดขึ้นในฤดูทำนา คือต้นฤดูฝนชุ่มฉ่ำ บอกเล่าประเพณีและความเชื่อต่างๆ ที่กลมกลืนอยู่ในวิถีชีวิตประจำของชาวนา วิถีการกิน การอยู่ การเก็บผักหญ้า การจับแมลง หนูนา กบเขียด ฯลฯ วิถีการทำนา การทำบุญ วิถีแห่งความสุขอันง่ายงาม รวมทั้งขั้นตอนต่างๆ เกี่ยวกับการทำนาเอาไว้เป็นลำดับ[…]

เรื่อง บึงหญ้าป่าใหญ่ ผู้แต่ง เทพศิริ สุขโสภา สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 195 บาท ถ้า เด็กบ้านสวน ใช้สำนวนสร้างภาพ คือเล่าให้เราเห็นภาพตามแล้ว บึงหญ้าป่าใหญ่ต้องเรียกว่าใช้สำนวนสร้างฝัน คือนอกจากจะเห็นภาพแล้ว เรายังเห็นลึกลงไปถึงความฝันที่แอบซ่อนอยู่ในภาพนั้นอีกต่อหนึ่งด้วย ผู้เขียนใช้สำนวนได้เป็นเอกลักษณ์ และน่ารักเป็นที่สุด เป็นสำนวนที่มีจังหวะและสวยงามไม่ซ้ำใคร เริ่มต้นเรื่องด้วย เส้นทางไปโรงเรียนอันแสนสนุก วาดภาพความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอันก่อนเก่า บางเรื่องที่เล่าก็ชวนฉงน บางตอนก็ให้พลังและแรงบันดาลใจ ให้อารมณ์และความรู้สึกต่างๆ โลดเต้นไปตามตัวอักษรของผู้เขียน สักพักก็แง้มถึงบึงหญ้าป่าใหญ่ .. เรื่องเล่าชวนระทึกที่เด็กๆ นักเรียนน้อยคนจะเคยไป เล่าเรื่องมิตรภาพของสีขาวกับสีดำ ความสัมพันธ์ที่มีความเฉพาะตัวระหว่างเด็กดื้อกับเด็กดี เรื่องราวอันเป็นความทรงจำผนวกกับจินตนาการ .. สวยปนเศร้า นำเสนอแง่มุมของชีวิต ที่ไม่มีถูก ไม่มีผิด ไม่มีขาว ไม่มีดำ ไม่มีดี ไม่มีแย่ ทุกอย่างผสมกลมกลืนกันไปตามธรรมชาติ ดำๆ ด่างๆ แซมๆ กันไป นำเสนอแง่มุมของคนสีเทาที่อยู่นอกกรอบและกฏเกณฑ์ คนสีเทาที่ถูกสังคมตัดสินตั้งแต่ต้น คนสีเทาๆ ที่แอบซ่อนความงดงามเอาไว้ในหัวใจ มีแต่เพียงเด็กๆ[…]

เรื่อง ตะลอนซิ่งเป๋าแฟบ Poorly Planet 4 ผู้แต่ง อรินธรณ์ สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 190 บาท มาถึงเล่มที่สี่ในชุด poorly planet  ตะลอนซิ่งเป๋าแฟบ เล่มนี้ ปกยังสวย ภาพประกอบก็ยังสวยเหมือนเดิม ประเทศที่เล่าถึงยังคงวนเวียนอยู่แถวๆ ตุรกี พม่า อินเดีย ทิเบต แถมชวา และสิงคโปร์ อีกกรุบกริบ อ่านมาถึงเล่มนี้ชักออกจะขัดใจนิดหน่อย ที่ผู้เขียนไม่รวมเล่มให้จบเป็นประเทศๆ ไปเลย มาเป็นต่อนๆ ทำให้คนตกภูมิศาสตร์อย่างเรามีปัญหาในการวาดภาพตามมาก poorly planet ทั้งสามเล่ม (เท่าที่อ่าน) มีประเทศซ้ำๆ และเนื้อหาต่อเนื่องกันเป็นช่วงๆ ทำให้คนที่ไม่สันทัดในชื่อเมืองต่างๆ ของแต่ละประเทศอย่างเราสุดมึน (อาทิเช่นช่วงรอยต่อของทิเบต เนปาล จีน ประมาณนั้น) เราสับสนมาก แถมยังขาดความต่อเนื่องทางอารมณ์ด้วย อย่างประเทศตุรกีที่เริ่มต้นเล่าในเล่มนี้ เนื้อหาต่อเนื่องจากเล่มที่แล้วเลย แต่ก่อนจบ ผู้เขียนยกฝั่งอเมริกาใต้มาปิดเล่มนิดหน่อย พอเล่มสี่ ก็มาเล่าตุรกีต่อชนิดเนียนสนิท[…]

เรื่อง เป๋าแบนแลนดิ้ง Poorly Planet 3 ผู้แต่ง อรินธรณ์ สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 200 บาท เป็นเล่มต่อที่เรื่องราวปะติดปะต่อแบบไม่เน้นเส้นทางค่ะ คล้ายๆ กับการอ่านนิตยสารที่แต่ละบทความมีต่อเล่มหน้า แล้วก็มีสถานที่ใหม่ๆ มายั่วน้ำลายด้วย เป๋าแบนแลนดิ้ง เล่มที่สามในเซ็ต poorly planet ในเล่มนี้ อรินธรณ์พาเราทัวร์พม่า ลาว ตุรกี และยังมีกลิ่นอายต่อจากเล่มก่อนของอเมริกาใต้ ทิเบต จีน และอินเดีย ผู้เขียนยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือไปแบบคนกระเป๋า (สตางค์) แบนๆ เที่ยวกินริมทาง และหลายเมนูยังคงชวนหิวในราคาย่อมเยา จริงๆ ผู้เขียนก็เล่าถึงหลายอย่างนะ ทั้งที่พัก การเดินทาง วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม วัดวาอาราม ฯลฯ แต่ไม่รู้ทำไมใจเราถึงจดจ่ออยู่แต่อาหารท้องถิ่นราคาถูก >,< อ่านหนังสือท่องเที่ยวของอรินธรณ์ติดกันสองเล่ม ชักเริ่มตะหงิดๆ ว่า อรินธรณ์นี่ช่างเป็นมนุษย์ที่ไม่มีโชคในการเดินทางเอาเสียเลย อ่านหนังสือบันทึกการท่องเที่ยวมาหลายเจ้า ยังไม่เคยเห็นใครซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้ ที่โชคร้ายนั้นพอจะมีบ้าง[…]

เรื่อง เที่ยวถูกจูบโลก Poorly Planet 2 ผู้แต่ง อรินธรณ์ สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 190 บาท โลกละมุน ที่เพิ่งจบไป เป็นหนังสือเล่าเรื่องทั่วไป ที่ปนเปื้อนเรื่องของการเดินทางเป็นส่วนมาก แต่พอมาถึงชุด poorly planet ชุดนี้ อรินธรณ์จัดเต็มค่ะ ย้ายเรื่องสัพเพเหระไปเป็นเรื่องรอง แล้วหยิบเรื่องเล่าของการเดินทางขึ้นมาเชิดหน้าชูนามเต็มๆ เที่ยวถูกจูบโลก เป็นหนังสือเล่มที่สองในชุด poorly planet ซึ่งเราไม่มีเล่มแรก จึ่งขอนำเล่มสองมาเล่าก่อนดังนี้ หลายคนก่อนจะออกเดินทาง สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องทำก็คือการสำรวจกระเป๋าสตางค์วางแผนงบประมาณเสียก่อน บางทริป สำรวจเรียบร้อยแล้วพบว่า งบประมาณไม่สัมพันธ์กับการเดินทาง ไม่สามารถตอบสนองความต้องการระหว่างทริปได้อย่างเพียงพอ แผนการเดินทางนั้นก็พลับพับไปเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มจัดกระเป๋า ปล่อยให้ลอยฟุ้งๆ ฝันๆ อยู่ในความคำนึงไปวันๆ แต่อรินธรณ์ไม่ยอมให้เงินในกระเป๋าสตางค์มาเป็นปัจจัยสำคัญของเขา การเดินทางของเขา จึงตั้งเป้าเอาไว้ตั้งแต่แรกว่า ไปแบบนักเดินทางกระเป๋า (สตางค์) แบน แล้วก็ปรับแผนให้ลงตัวกับเงินในกระเป๋า ปัญหา ไปแก้เอาดาบหน้า .. มีมุมมองละไมๆ ของเขาเป็นด่านหน้า แล้วเปลี่ยนปัญหาให้เป็นรสชาติของการเดินทาง เรื่องเล่าของการเดินทาง[…]

เรื่อง แม่เบี้ย ผู้แต่ง วาณิช จรุงกิจอนันต์ สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 220 บาท เสน่ห์ของ แม่เบี้ย น่าจะอยู่ที่เรื่องราวของความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดระหว่างเมขลา และงูเห่าขนาดใหญ่ในบ้านของเธอ เนื้อเรื่องมีกลิ่นอายอิโรติก แม้จะไม่ได้เล่าโจ่งแจ้งอย่างบางเล่มในยุคปัจจุบัน แต่ก็ยั่วยุความรู้สึกหวามไหวอยู่แผ่วๆ แม่เบี้ย คือเรื่องราวของชนะชล ชาย (ไม่ค่อย) หนุ่ม ที่แต่งงานแล้ว กับเมขลา หญิงสาวรักสนุก ที่มีงูเป็นพล็อตเสริมที่น่าสนใจ สารภาพว่าเรารำคาญนางเอกตอนเปิดเรื่องค่ะ และคาดว่าชนะชลก็คงรำคาญนางอยู่เหมือนกัน แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของความสนใจที่เขามีต่อเธอ .. เมขลา ชนะชลพบเมขลาเพราะความสนใจในบ้านเรือนไทย จากความสนใจกลายเป็นความประทับใจ จากความประทับใจต่อเรือนไทย กลายเป็นความประทับใจในตัวเจ้าของเรือน! เขาและเธอพบกันในวันที่เมขลารับหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์กิติมศักดิ์ เธอผู้เป็นเจ้าของบ้านเรือนไทยทรงเสน่ห์ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี เธอเองก็น่าที่จะสนใจชายหนุ่มตั้งแต่วันแรกที่พบเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเธอคงจะเป็นสาวเปรี้ยวที่เจ้าชู้มาก (ซึ่งจริงๆ ก็ถูกทั้งสองอย่าง) เพราะเธอออกอาการเกี้ยวชายหนุ่มอย่างไม่มีเคอะเขิน เธอเป็นนักเรียนนอกที่รับธรรมเนียมฟรีเซ็กซ์ของเมืองนอกเอาไว้อย่างเต็มที่ การพบกันครั้งนั้นสร้างพลังงาน (บางอย่าง ;P) สับสนอึงอลอยู่ภายในใจเขา ชนะชลแต่งงานแล้ว และมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีลูกชายหญิงอย่างละหนึ่ง มีฐานะร่ำรวย เขาพอใจในสิ่งที่ตนครอบครอง ..[…]

เรื่อง คราส ผู้แต่ง อติภพ ภัทรเดชไพศาล สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 250 บาท ความรู้สึกแรกที่อ่านจบคือโมโห เหมือนถูกหลอกให้อ่านอะไรก็ไม่รู้อยู่ตั้งนาน ‘ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย’ คือคำแรกที่นึกออกในตอนที่อ่านบรรทัดสุดท้ายในหนังสือจบ ผู้เขียนต้องการจะบอกอะไรก็ไม่รู้ สื่ออะไรก็ไม่รู้ นึกอยากเขียน อยากโยงอะไรก็โยง กระตุ้มต่อมคำถามให้วิ่งพล่านอยู่ในหัว ก่อนที่จะจบลงแบบ .. ไม่ตอบอะไรเลย ไม่มีทางเลือก ไม่มีความคิด ไม่มีไอเดีย มีแค่ความงง ตกลงเฮียจะสื่ออะไร? เอ้า .. มา เล่าเท่าที่พอจับใจความได้กันก่อน ผู้เขียนเปิดเรื่องได้น่าสนใจ มีวิธีเล่าที่ปลุกเร้าความอยากรู้ ความทรงจำอันบิดเบี้ยว มนุษย์เรามักเลือกจำในสิ่งที่เราอยากจะจำ และละลืมรายละเอียดบางสิ่งบางอย่างที่สะเทือนใจออกไป หลายความทรงจำที่เราไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นจริง หรือเป็นเพียงบางความลวงของสมองกันแน่? ปมความรู้สึกที่ติดอยู่ในห้วงของความทรงจำ มันถูกฝังลึกเอาไว้มิดเม้น แต่จิตใต้สำนึกไม่เคยลืมมัน ผู้เขียนแบ่งนิยายของตนเองออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ๆ ตัวตนของแต่ละตัวละคร ถูกเล่าเอาไว้ในตอนของตนเอง เสือ, ไตร (=ตั้ม และ =เสรี[…]

เรื่อง เนรเทศ ผู้แต่ง ภู กระดาษ สำนักพิมพ์ มติชน ราคา 180 บาท ได้ยินชื่อเสียงของ เนรเทศ มาสักพักแล้วล่ะค่ะ ก่อนจะตัดสินใจซื้อเมื่องานหนังสือที่ผ่านมา วันนี้ได้ฤกษ์หยิบมาอ่าน นับว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์การอ่านสำหรับตัวเองไปอีกขั้น เนรเทศ นำเสนอเรื่องราวเหตุการณ์ธรรมดาๆ ที่พบได้บ่อยๆ ทุกวันหยุดยาวประจำชาติ เป็นการบรรยายเหตุการณ์การเดินทางของครอบครัวครอบครัวหนึ่งเอาที่แสนธรรมดา เอาไว้อย่างน่าสนใจ เมื่อสิ้นสุดการปิดเทอมฤดูร้อน สายชน ไซยปัญญา กับแม่ของเขา ผู้เป็นย่าของลูกสาว .. อุ่น โจ้ หลานชายบ้านใกล้เรือนเคียง และวิญญาณของ ล. ไซยปัญญา ภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้ว ทั้งหมดออกเดินทางจากชลบุรี อันเป็นจังหวัดที่เขาทำงาน ออกเดินทางเพื่อกลับสู่บ้านเกิด หมู่บ้านงาเอก จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้อุ่นกลับไปเรียนเมื่อเปิดเทอม การเดินทางที่ทีแรกวางแผนกันไว้ว่าจะให้น้องชายผู้ทำงานในโรงงานชิ้นส่วนรถยนต์ ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ขับรถมารับทุกคนที่บ้านของเขาที่ชลบุรี และไปรับน้องสาวอีกคน ซึ่งทำงานอยู่ ณ โรงงานเชือดชำแหละไก่สด ที่บางเสาธง สมุทรปราการ กลับสู่หมู่บ้านงาเอก[…]