อ่านแล้วเล่า

โลกใหญ่ใบมด

เรื่อง โลกใหญ่ใบมด
ผู้แต่ง โตมร ศุขปรีชา
สำนักพิมพ์ ดีเอ็มจี
ราคา 180 บาท

ในฐานะที่มีวัยเด็กเงียบๆ เรียบง่าย พูดน้อย เล่นเกมกีฬาไม่เก่ง และเข้าสังคมไม่ค่อยเป็น
เวลาว่างของเรานอกเหนือไปจากการอ่านหนังสือแล้ว ก็คือการเฝ้าดูทุกสิ่งรอบตัวนั่นเอง
โลกใหญ่ใบมด เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เหมาะกับคนที่ชอบเฝ้าดูเช่นเรา
หนังสือเล่มนี้ เราเคยหยิบมาเล่าเป็นนิทานก่อนนอนให้ลูกสาวฟัง
สมัยที่แกยังเรียนอนุบาลและอ่านเองไม่ได้
นั่นหมายความว่า เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ละมุนละม่อม อ่อนโยน และกระตุ้นจินตนาการ
หนังสือเล่มนี้มีความน่ารัก ใช้ภาษาสนุก เล่าเรื่องเป็นภาพ วาดภาพในสมองให้เรา

เมื่อโตมรเขียนถึงสัตว์ตัวไหน เขามักจะดึงความน่ารักของมันออกมาเล่าให้เราอ่านได้เสมอๆ
ด้วยภาษา ด้วยตัวอักษร ด้วยเวทมนต์เฉพาะตัวของเขา
ทำให้เรารักสัตว์ทุกตัวที่เขาเขียนถึง
กว่าจะอ่านจบถึงบทสุดท้าย คงไม่เหลือสัตว์ที่ไม่น่ารักสักตัว

24 โลกใหญ่ใบมด

โลกใหญ่ใบมด เป็นหนังสือเล่มแรกที่ทำให้เรารู้จักโตมร
และนั่นทำให้เราสืบค้นติดตามหาหนังสือเล่มอื่นๆ ของเขาเรื่อยมา
(แม้ว่าเขาจะมีทักษะในการเขียนเรื่องหลากหลายแนว
และในบางแนวก็ไม่เข้าทางเรา .. นั่นก็ต้องเรียนรู้กันไป)

โตมรเลือกเรื่องของแมวมาเล่าเป็นเรื่องแรก
แทบจะถือเป็นครั้งแรๆ ที่เราอ่านแล้วเริ่มจะคิดว่าแมวน่ารัก
นอกจากน่ารัก แมวมีความเท่อย่างน่าอิจฉา และมีความกล้าอย่างน่าทึ่งด้วย
อ่านโลกใหญ่ใบมดครั้งใหม่ จึงสร้างความสุขให้เราไม่ต่างจากการอ่านครั้งอื่นๆ
อ่านไปอมยิ้มไป คล้อยตามในสำนวนของคุณโตมร .. และเริ่มหลงรักแมวอีกครั้ง

24-2 โลกใหญ่ใบมด

24-3 โลกใหญ่ใบมด

ในตอนต่อมา ตอนของมด โตมรพาให้เราตามติดชีวิตมดกันอย่างละเอียดทีเดียว
นิทานที่เล่าควบคู่ไปกับการเล่าพฤติกรรมมดในเล่มนี้ เป็นนิทานที่จบหักมุม
ทั้งโหด ทั้งเศร้า .. และทั้งจริง .. และโลกก็ยังคงขับเคลื่อนไป
ในมุมของสัตว์โลก มนุษย์คงเป็นสัตว์ที่น่ารักน้อยที่สุด

เมื่อจบเรื่องของมด มาต่อกันที่เรื่องของโลมา สัตว์อีกชนิดที่เป็นมิตรกับมนุษย์
โตมรวาดฉากการคลอดลูกและการดูแลลูกของโลมาให้เราเห็น
เป็นภาพที่น่ารักไม่ต่างจากอากัปอื่นของโลมา
ความสัมพันธ์กันภายในฝูง ภายในครอบครัว

ในตอนของแบคทีเรีย ..
โตมรยังคงใช้ภาษาที่เหมือนเล่านิทาน ทำให้เรามีเพื่อนเป็นแบคทีเรีย
สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มนุษย์มักมองเป็นศัตรูมาตลอด
เศษเสี้ยวบางสิ่งบางอย่างเล็กๆ ในโลกของมนุษย์ คือโลกใบใหญ่ของเพื่อนที่ชื่อแบคทีเรีย
โตมรใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องขยายโลกนั้นให้เราเห็นอย่างสนุกสนาน

ในฐานะที่เป็นนักหัดดูนก คอยแอบดูนกเมืองกรุงวนเวียนอยู่ไม่กี่ชนิดเสมอๆ
ยามที่มีกิจกรรมต่างๆ ในสวนสาธารณะหลายๆ แห่งในกรุงเทพ
ตอนที่น่ารัก และมีอารมณ์ร่วมที่สุดสำหรับเรา ก็คือตอน “เมื่อนกเมืองร้องเพลง” ตอนนี้แหละ
แน่นอน โตมรยังคงใส่ความน่ารักให้กับเจ้าของตอนดังเช่นทุกตอนที่ผ่านมา
นกต่างๆ ที่โตมรเล่าถึง จึงน่ารักนักหนาในความคิดของเรา
นอกจากนกเมือง นกสวนต่างๆ นานาแล้ว
โตมรยังสอนให้เราล่อหลอกนกเหล่านั้นให้มาเป็นนกบ้านอีกด้วย
บ้านในฝันของคนรักนก บ้านที่มีนกมาร้องปลุกยามเช้าๆ
บ้านแห่งความทรงจำวัยเด็กของเรา
หลับตา แล้วฝันถึงบ้านหลังนั้น สักวันคงจะมี ..

สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ดูจะไม่น่ารักที่สุดในเล่มนี้ก็คงจะเป็นเจ้าไวรัสอีโบลาในตอนก่อนสุดท้ายนี่เอง
แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อเรื่องในตอนนี้ก็ยังเป็นตอนที่อ่านสนุก เพลิดเพลิน
และได้ความรู้แบบย่อยง่ายเหมือนเคย
เนื้อเรื่องในตอน เหมือนกับเรากำลังดูหนังวิทยาศาสตร์เอเลี่ยนบุกโลกสักเรื่อง
ต่างกันแต่เพียงว่า เอเลี่ยนชนิดนั้นอยู่ในโลกเดียวกันกับเรานี้เอง
เพียงแค่เราไปบุกรุกอาณาเขตของมันก่อน จากนั้นมันจึงบุกยึดร่างกายของเรา
กัดกินเจ้าของร่างทีละน้อย ก่อนจะถือครองกรรมสิทธิ์หมดทั้งร่าง
โดยที่เจ้าของร่างหมดสิ้นอำนาจตัดสินใจ .. หมดสิ้นชีวิตในบัดดล
เหมือนหนังเอเลี่ยนอย่างที่บอกไหมเล่า?

เรื่องสุดท้ายภายในเล่มเป็นเรื่องของม้า .. ม้าแข่ง
โตมรยังคงเล่าเรื่องด้วยสำนวนดั่งเล่านิทาน ..
โดยเฉพาะในตอนต้นนี้ .. เข้าขั้นเทพนิยายเลยทีเดียว
เมื่อเรื่องราวผ่านช่วงต้น จากม้าแข่งมาถึงสนามม้า ..
เทพนิยายก็กลายเป็นความจริงอันแสนเศร้า
แม้จะยังอ่านสนุก แต่ก็ปนความหดหู่
อย่างที่บอกไปตอนต้น มนุษย์ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักน้อยที่สุดเช่นเคย

โตมรน่าจะเป็นมนุษย์ผู้มองโลกในแง่ดี
เรื่องที่เขาเล่าจึงสว่าง อบอุ่น สดใส และเรียกรอยยิ้มคนอ่านได้เสมอ (อย่างน้อยก็ในเล่มนี้)
อ่านจบ คงต้องไปรื้อชั้นหนังสือ หาเล่มอื่นของโตมรมาอ่านต่ออีกสักเล่มสองเล่ม
ขอเวลานิดนะคะ แล้วจะเล่าสู่กันฟัง ^^

Comments are closed.