อ่านแล้วเล่า

ตราไว้ในดวงจิต

01-1 ตราไว้ในดวงจิต

เรื่อง ตราไว้ในดวงจิต
ผู้แต่ง โบตั๋น
สำนักพิมพ์ ชมรมเด็ก
ราคา 38 บาท

ตราไว้ในดวงจิต สำหรับเรา .. เป็นหนังสือที่แค่หยิบก็สะเทือนอารมณ์
คิดถูกไหมนี่ ที่เริ่มต้นปีด้วยหนังสือดราม่าหนักขนาดนี้!!

ถึงแม้ ตราไว้ในดวงจิต จะดราม่าหนักอย่างที่หลายคนรู้
แต่ก็เป็นหนังสือที่เรารักมากค่ะ เป็นหนังสือแห่งความทรงจำ
ตอนเด็กๆ เคยนอนอ่านไปปาดน้ำตาไปจนหลับคาหมอนมาแล้ว
เคยร้องไห้เมื่ออ่านถึงจบอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม
หนำซ้ำยังร้องมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
แม้ไม่ได้อ่านมานานแล้ว แต่ยังจำได้เกือบทุกตัวอักษร
ถึงกับร้องไห้ล่วงหน้า เพราะนึกถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้นได้แม่นยำ ..

เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันในสังคมได้อย่างชัดเจน
ผู้เขียนมีความละเอียดอ่อน เข้าถึงความคิดจิตใจของตัวละครสำคัญเกือบทุกตัว
ถ่ายทอดเหตุผลของการกระทำต่างๆ และค่านิยมของคนหลายชนชั้น ..
ถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ต่างประเภท .. ทั้งที่เป็นบัวใต้น้ำ บัวปริ่มน้ำ และบัวพ้นน้ำ
ทั้งคนที่เลวมาแต่กำเนิด คนที่เลวเพราะถูกชักนำ และคนที่เลวเพราะถูกสังคมบีบบังคับ
ถ่ายทอดความมีน้ำใจไมตรี ความเอื้อเฟื้อของสังคมแบบไทยๆ
เราได้เห็นผลจากการเลี้ยงดูที่แตกต่างของสองครอบครัวที่แตกต่างกันสุดขั้ว

ชีวิตของตัวละครหลักทั้งสองตัวเปรียบเสมือนเส้นตรงสองเส้น
ที่บังเอิญถูกพระพรหมขีดให้มาตัดกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็แยกจากกันไป
มีเพียงช่วงเดียวที่เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของหนึ่งในสองคนนั้น
เป็นสิ่งดีงามเพียงสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขา .. ข้าวฟ่าง

ข้าวฟ่าง คือเด็กชายที่แม่แท้ๆ ของเขามาจ้างเลี้ยงไว้กับนางจิตและนายถม
เด็กชายถูกฝากเลี้ยงจนฝากลืม นานวันแม่แท้ๆ ของเขาถึงมาหาเสียที
ในตอนเด็ก ข้าวฟ่างจำหน้าแม่ของตัวเองแทบไม่ได้
ยอมหมดหัวใจให้นางจิตและนายถมเป็นพ่อและแม่ของตน
และเมื่อเติบโตขึ้น เขาก็ไม่มีความสนิทสนมใดจากแม่แท้ๆ ที่จะยึดเหนี่ยวเขาเอาไว้ได้เลย

ข้าวฟ่างมีพี่ชายสองคน .. ข้าวตอกและข้าวเม่า
ภายหลังมีน้องสาวชื่อข้าวโพดอีกหนึ่งคน
ทั้งหมดอยู่กับนางพิศแม่แท้ๆ ของเขา

ในขณะที่พี่สาวไม่แท้ของข้างฟ่าง ที่เป็นลูกของพ่อถมกับแม่จิต
คือพี่แต๋วและพี่ติ๋ม โตและรับผิดชอบชีวิตตนเองกันได้หมดแล้ว

ข้าวฟ่างเป็นเด็กขี้แย ขาดความั่นคงทางจิตใจ ขาดความอบอุ่น
พ่อแม่แท้ๆ ก็ไม่รู้จักไม่สนิทสนม พ่อแม่ที่รู้จักและรักก็ไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง
ไม่สามารถเป็นส่วนผสมที่ลงตัวสำหรับที่ไหนได้เลย
เขาเติบโตมาอย่างขาดๆ นอกจากสุขภาพใจจะไม่แข็งแรงแล้ว
สุขภาพกายก็ย่ำแย่ด้วย
ข้าวฟ่างฟันผุหมดปากตั้งแต่ยังเล็ก เพราะทั้งอมทอฟฟี่
และดูดนมขวดที่ชงจากโอวัลตินกับนมข้นหวาน ตัวผอมขาดสารอาหาร
และไม่มีใครสักคนที่เดือดร้อนต่อความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับเขา

เด็กหญิงผักกาด เป็นเด็กหญิงวัยใกล้เคียงกับข้าวฟ่าง
มีบ้านอยู่ในละแวกเดียวกัน แต่มีชีวิตที่แตกต่างกันราวกับสีขาวกับสีดำ
เด็กหญิงผักกาดถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างถูกสุขอนามัย
ได้เรียนได้เล่นเสริมพัฒนาการวัยเด็กอย่างเต็มที่
แต่งตัวสะอาดเรียบร้อย มีพี่เลี้ยงคอยดูแลใกล้ชิด ..

แม้จะแตกต่างกันมาก แต่ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้กันนี้เอง
ทำให้เด็กหญิงสีขาวอย่างผักกาดและเด็กชายสีดำอย่างข้าวฟ่าง โคจรมาพบกันจนได้
เด็กหญิงผักกาดอายุมากกว่าข้าวฟ่างเพียง 2-3 ปี
แต่ในสายตาของข้าวฟ่าง ผักกาดคือฮีโร่ของเขา
จากเด็กชายที่ไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยว
ข้าวฟ่างจึงเริ่มมีผักกาดเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ และครูในคราวเดียว

เมื่อมาเล่นกับผักกาด ข้าวฟ่างมาได้เฉพาะตอนเย็นๆ ที่ผักกาดกลับมาจากโรงเรียน
หรือวันเสาร์อาทิตย์ที่ผักกาดว่างจากการทำกิจกรรมต่างๆ
เด็กๆ เล่นกันอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่
แม่ของผักกาดเป็นจิตรกรวาดภาพที่มีเวลาดูแลลูกสาวคนเดียวอย่างใกล้ชิด

แม่ของผักกาดเป็นแม่ที่เจ๋งมากที่ยอมให้ลูกสาวคบกับเด็กเกือบจะข้างถนนแบบข้าวฟ่าง
ทั้งที่ข้าวฟ่างมอมแมม พูดจาหยาบคาย ไม่ได้รับการสั่งสอนอบรมมารยาทใดๆ เลย
เพ็ญตระการสอนผักกาดที่โตกว่าให้อบรมและสอนข้าวฟ่างให้ทำสิ่งดีๆ
แทนการเลียนแบบคนที่เด็กกว่า 
ซึ่งเป็นวิธีที่เสี่ยงมากที่ผักกาดจะติดนิสัยแย่ๆ มา
แต่ก็เป็นการฝึกผักกาดให้อยู่ร่วมกับคนในสังคมอันหลากหลายเสียตั้งแต่เด็ก
ผักกาดได้เรียนรู้ที่จะแบ่งปันของเล่นและขนม รู้จักเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนต่างวัยและต่างฐานะคนนี้
เพียงเวลาไม่นาน 
ข้างฟ่างก็ปวรณาตัวเองมาเป็นบริวารของเจ้าแม่อวกาศ
คอยตามติดเจ้าแม่ของเขาต้อยๆ ยอมลงเป็นลูกน้องให้ผักกาดทุกอย่าง
ผักกาดเองก็ถ่ายทอดสิ่งดีๆ ให้กับบริวารคนเดียวของเธออย่างตั้งใจ
ทั้งการสอนหนังสือ สอนมารยาทการพูดจา และอื่นๆ อีกมากมาย
แต่ .. ความแตกต่างก็มีอยู่จริง และวิถีชีวิตของคนทั้งสองก็ต้องดำเนินไปตามทางของตน

การพบกันในวัยเด็กนั้นเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ในช่วงชีวิตของข้าวฟ่าง
แต่ก็เป็นความทรงจำที่ถูก ‘ตราไว้ในดวงจิต’ ของเขาอย่างล้ำลึก
แม้ผู้เขียนจะไม่ได้จาระไนว่าเส้นทางชีวิตของข้างฟ่างนับต่อจากนั้น
เขาได้พบเจอกับอะไรมาบ้าง แต่ก็พอจะเห็นเค้าโครงจากคำบอกเล่าของคนรอบตัว
ที่สุดของที่สุด คือการกลับมาพบกันอีกครั้งเมื่อเติบใหญ่ของคนทั้งสอง
เป็นฉากสำคัญที่ถูก ‘ตราไว้ในดวงจิต’ ของผู้อ่านหลายต่อหลายคน
ตราตรึงใจไม่รู้ลืม .. แม้ไม่ได้อ่านซ้ำมานานนับสิบปี
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ตราไว้ในดวงจิต จึงเป็นนิยายในดวงใจของเรามาโดยตลอด
รักไม่เคยเปลี่ยนแปลง .. รักมากจริงๆ ค่ะ

Comments are closed.