ขุนหอคำ

เรื่อง ขุนหอคำ
ผู้แต่ง กฤษณา อโศกสิน
สำนักพิมพ์ เพื่อนดี
ราคา 360 บาท
ลำดับญาติเอาไว้กันลืมนิดนึงก่อนค่ะ
ไอ้ม่อน หรือเจ้าม่อนฟ้าจากเวียงแว่นฟ้า แท้จริงแล้วเป็นบุตรขุนต้นแสง
ซึ่งเป็นเมียวซา (ตำแหน่งรองเจ้าเมือง) ของเมืองนาย (รัฐหนึ่งของไตใหญ่)
มีปู่เป็นเจ้าฟ้าเมืองนาย ชื่อขุนจองสี
เจ้าม่อนฟ้าชิงบัวบุรี ข้าหลวงจากเชียงใหม่ไปเป็นเมีย
มีบุตรด้วยกัน 2 คนคือ มาวฟ้ากับบัวฟ้า
ในตอนท้ายเรื่องหนึ่งฟ้าดินเดียว
เจ้าม่อนฟ้าและครอบครัวอพยพหนีการตามล่าของเจ้าสีป้อไปอยู่เชียงตุง
ส่วนฝ่ายเมืองรามได้แต่งงานกับเจ้าหญิงระยับเนตร
มีบุตร 2 คน คืออาบองค์กับเมืองสิงห์
ในตอนท้ายเรื่องหนึ่งฟ้าดินเดียว
เมืองรามและครอบครัวดูแลเมืองเชียงแสนที่เพิ่งทำนุบำรุงใหม่
ขุนหอคำ เปิดเรื่อง ณ ทะเลสาบอินเล เมืองยองห้วย..
ไตใหญ่เวลานั้นแบ่งเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย ก่อนที่พม่าและอังกฤษจะเข้ามายึดครอง
เหล่าไตใหญ่นี้ก็ต่างมีเจ้าฟ้าของตนเอง ปกครองเป็นอิสระต่อกัน
แม้ครานี้จะยังไม่เป็นอิสระจากอังกฤษ แต่ก็มีอิสระเสรีในการปกครองตนเอง
ไตใหญ่แต่ละเมืองจึงข่มกันอยู่ในที ชิงกันเป็นใหญ่อีกครั้ง
อ่านไปได้ไม่นานก็พอจะจับทางได้ .. ว่า ..
สมัยพ่อ พ่อก็ปลอมตัวเข้าเมืองเชียงใหม่
มาถึงยุคลูก ก็ท่าจะดำเนินรอยตามพ่อ ปลอมตัวท่องเที่ยวมเหมือนกัน
ภูเออ พร้อมด้วยพี่ชายร่วมสาบานอีกสองคน คือขันและชอง
ออกเที่ยวสำรวจเมืองน้อยใหญ่ของไทยใหญ่ โดยมาเริ่มต้นที่เมืองยองห้วยแห่งนี้
ระหว่างเดินกาด ก็ถูกผู้มีหน้าที่ดูแลเมืองสอบถามและยึดอาวุธไว้ก่อน
เพราะเห็นว่ามีลับลมคมใน
ในตอนนั้นเอง ก็เกิดได้พบกับขบวนของเจ้าไหมแสง และหลานสาวทั้งสอง
เจ้านางคำชื่นและเจ้านางเกาะหอม (เจ้านางอี่และเจ้านางอาม) บุตรีของพรองเมืองลำดับสอง
เจ้านางเมืองนี้ก็ประหลาด ไปเดินกาดพบคนที่ทำท่าว่าจะลักลอบเข้าเมืองมาแบบไม่ซื่อ
ก็กลับปกป้อง แถมยังชวนให้ร่วมขบวนพาเที่ยววัด เที่ยวปอย เที่ยวกาด
ให้รับใช้ใกล้ชิด ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้หัวนอนปลายเท้าย
จะบอกว่าเอาตัวไว้ใกล้ชิดเพื่อดูท่าที ก็ดูประมาทเกินไป
มีวิธีอื่นอีกตั้งมากที่ไม่เสี่ยงเช่นนี้
เมื่อสามจาย ขัน ชอง และภูเออ เพิ่งมาถึงยองห้วยนั้น
ขณะนั้นที่ยองห้วยกำลังจะมีงานบุญประจำปี (เทศกาลผ่องต่ออู)
เป็นงานที่รวบรวมเหล่าเจ้าฟ้าไตเมืองต่างๆ ให้มาชุมนุมพบปะกัน
ในงานครานี้ เจ้านางอาม (เจ้านางเกาะหอม) และเจ้านางอี่ (เจ้านางคำชื่น)
ก็ได้ปลอมเป็นชาย เดินเที่ยวงานไปกับภูเออด้วย
ในงานนั้นมีจายพอกหน้าขาวมารำเพลงดาบงดงามเก่งกล้า
ภายหลังรู้ว่าชื่อล่าปี เป็นชาวกะยิ่นนี่ ยางแดง
เป็นชายในภาพที่เจ้านางคำชื่นเคยเห็นในภาพที่หมอดูวาดไว้ครั้งหนึ่ง
นับจากนั้น นางก็เฝ้าตามหาชายในภาพผู้ไม่รู้ว่าเป็นใคร
จนกระทั่งมาได้พบกับล่าปีผู้นี้
อีกครั้งหนึ่งในงานวันถัดมา เจ้านางคำชื่นก็ได้บังเอิญไปนั่งม้าให้ล่าปีจูง
แต่แล้วกลับเกิดอุบัติเหตุให้ม้าตกใจพานางเตลิด
ล่าปี่ผู้นี้ก็ได้ช่วยนางไว้
พล็อตเรื่องนี้ก็แปลกๆ คือให้เจ้าทั้งสอง กับข้าอีกหนึ่งปลอมตัวมา
บิ้วท์มากำลังดี อยู่ๆ ก็เฉลยเสียอย่างนั้น แล้วก็ไม่มีผลอะไร
ไม่เห็นเหตุผลของการปลอมตัวเข้ามาเลย -*-
ภายหลังเมื่อเจ้านางเกาะหอมรู้ความจริงว่าภูเออคือเจ้ามาวฟ้า บุตรเจ้าม่อนฟ้า
ส่วนชองคือเจ้าล่องฟ้า บุตรเจ้าลายฟ้า และขันคือลูกของเขียน คนสนิทเจ้าม่อนฟ้า
(ตอนที่รู้ เหตุการณ์ค่อยๆ เกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีฉากตื่นเต้นไคลแม็กซ์ใดๆ -*-)
เจ้ามาวฟ้า (ภูเออ) จึงตั้งใจจะกลับไปบอกปู่ และพ่อให้มาสู่ขอตามธรรมเนียม
แต่ในอดีต ฟ้าเมืองนายเคยสนับสนุนให้เจ้าลิ่นปี่ยกทัพมาล้อมยองห้วย
จนไพร่ฟ้าพากันอดอยากอยู่หลายเดือน
รักครั้งนี้ของภูเออและเจ้านางอามจึงมีความแค้นในอดีตเป็นอุปสรรคขวางกั้น
(แต่ก็ดูไม่หนักหนาเท่าไร เพราะตอนนี้เจ้าฟ้าไตทั้งหมดต่างตกอยู่ภายใต้อำนาจ
ของกะลาหน้าขาว (อังกฤษ) ทั้งสิ้น .. ดูๆ ไปก็เหมือนคนหัวอกเดียวกัน)
ฝ่ายล่าปีเอง ก็ยอมเฉลยแก่เจ้านางคำชื่นว่า
แท้จริงแล้วตนเองเป็นครึ่งไตครึ่งกะยิ่นนี่ (กระเหรี่ยง)
พ่อเป็นชาวหมอกใหม่ แม่เป็นเชื้อสายของเจ้าละผ่อ
ล่าปียอมรับว่าตนแต่งงานแล้วกับเจ้านางกะยิ่นนี่นางหนึ่ง มีลูกแล้วด้วย!!
แหม่ .. แรงจริงๆ
เมื่อความจริงเปิดเผย ทั้งสามจายรวมกับล่าปีเป็นสี่จายก็เตรียมตัวเดินทาง
ทั้งหมดตั้งใจจะไปเมืองนาย
ภูเอออยากจะไปบอกให้ปู่และพ่อมาขอเจ้านางเกาะหอม
ส่วนเจ้านางคำชื่นก็ยังไ่ม่หมดรัก ยังมีหวังจ้า (หวังอะไร?)
ต่างฝ่ายต่างสัญญิงสัญญากันไว้ว่าจะกลับมา แล้วก็ออกเดินทาง
แล้วทั้งสี่จายก็ออกเดินทางไปพบขุนต้นแสง
ขุนต้นแสง ปู่ของภูเออนั้นเป็นผู้มีสายตากว้างไกล
มองเห็นว่าบ้านเมืองยังไม่สงบ แถมนางเกาะหอมก็เพิ่งอายุเพียง 13
กับทั้งเวียงนายเองก็ถูกเผาทำลายจากทหารอังกฤษจนย่อยยับ
แทบไม่เหลือเงินทองไปสู่ขอสาวให้สมเกียรติหลานชายเมียวซา
ทั้งคู่จึงยังไม่ควรแต่งงานในตอนนี้ ขอให้ยืดระยะเวลาออกไปอีกสักหน่อย
แม้จะเศร้าและไม่เต็มใจ แต่ภูเออก็ยอมรับต่อเหตุผลของปู่
เมื่อกลับมายองห้วยอีกครั้ง ภูเออจึงทำแต่เพียงหมั้นหมายกับเจ้านางเกาะหอมไว้ก่อน
จากนั้นทั้งสี่จายก็ไปเป็นทหารรับจ้างแก่อังกฤษซึ่งมาตั้งค่ายที่นั่น
ยอมเป็นทหารให้ด้วยความจำใจ .. แม้ไ่ม่ชอบอยู่ใต้ปกครองอังกฤษ แต่ก็ไม่มีทางเลือก
เมื่อทั้งสี่จายเข้ามาอยู่ภายใต้การนำทัพของอังกฤษ
ทั้งหมดจึงจำต้องทำตามคำสั่ง .. อังกฤษต้องการนำทัพไปปราบคนของเจ้าละผ่อ ยางแดง
ไตจะต้องฆ่าไตด้วยกัน .. เนื้อความตอนนี้กินใจ อ่านแล้วทำเอาน้ำตาซึมเหมือนกัน
เมื่อทหารอังกฤษตีเมืองสกโล้นอันเป็นเมืองหลวงของเมืองกันตระวดี ยางแดงได้สำเร็จ
ทั้งสี่จายจึงขอลาจากทัพอังกฤษ
ล่าปีนั้นต้องการไปตามหาลูกเมีย (ซึ่งอพยพหนีสงครามไป)
ส่วนภูเออก็ต้องการไปหาย่า เพื่อขอเงินมาสู่ขอเจ้านางเกาะหอมตามที่ตั้งใจ
ทั้งหมดตั้งใจจะออกไปช่วยกันตามหาลูกเมียของล่าปีก่อน
กล่าวฝ่ายเมืองราม บัดนี้กลายเป็นพญาเมืองรามรักษาเขตอยู่ที่เชียงแสน
ในขณะที่อังกฤษรบกับยางแดงนี่เอง เมืองรามได้รับมอบหน้าที่
ให้ร่วมทัพไปกับเจ้าน้อยปัญญา ออกสำรวจดูลาดเลากองกำลังรักษาชายแดนเชียงใหม่
(คำว่า ‘น้อย’ หมายถึงเคยบวชเณรมาแล้ว ;P ..
คิดถึงคุณยายน้อย วาสนาในลีลาวดีเพลิงเลย อิอิ)
ในการสำรวจครั้งนี้ อาบองค์ บุตรีของเมืองรามกับเจ้าหญิงระยับเนตร
ก็ขอติดตามไปด้วย โดยปลอมตัวเป็นชายปะปนไปกับเหล่าทหาร
จากครั้งที่เจ้าหญิงระยับเนตรเคยซุกซนติดตามเจ้าน้อยสิงห์ผู้พ่อไปทุกที่
ครานี้เวรกรรมตามทัน ต้องมานั่งเป็นห่วงลูกสาวบ้างแล้ว ;P
เมื่อเจ้าน้อยปัญญา เมืองราม อาบองค์ และเหล่าทหารเดินทางมาถึงชายแดน
ก็พอดีกันกับที่ภูเออ ชอง ขัน ล่าปีเดินทางมากับทหารอังกฤษถึงชายแดนสยามด้วยเช่นกัน
เมื่อภูเออได้พบกับเมืองราม ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลากันอยู่ในที
ด้วยท่าทีที่ผิดแผกไปจากชาวเงี้ยว (ไตใหญ่) ทั่วๆ ไป
ทั้งสี่จายจึงถูกกักตัวเอาไว้ก่อนที่ชายแดนนี้
ระหว่างนั้น คณะของเมืองรามก็พักแรมอยู่ที่เดียวกันด้วย
มีเวลาได้พบปะโอภาปราศรัยรับใช้ (และดูท่าที) กันและกัน
ด้วยความหลังฝังใจที่ถูกชิงนางอันเป็นที่รักไป เมืองรามจึงเกลียดเงี้ยวยิ่งนัก
ฝ่ายภูเออและเหล่าพี่น้อง (ร่วมสาบาน) เมื่อมาอยู่ชายแดนสยามก็รับจ้างสยาม
ต่างคนต่างได้รับหน้าที่ที่ตนถนัด ได้รับใช้ใกล้ชิดเจ้านาย
จึงพลอยได้ใกล้ชิดเมืองรามและลูกสาวที่ปลอมเป็นชายด้วย
นับวัน ภูเออก็ยิ่งสังเกตได้ว่าอาบองค์ที่ปลอมตัวมานั้นเหมือนหญิงมากกว่าชาย
คู่นี้รักกันกุ๊กกิ๊ก ท่ามกลางความเกลียดชังของพ่อฝ่ายหญิง น่ารักดี
แต่อย่าลืมว่าตอนต้นเรื่อง ภูเออได้ไปหยอดขนมจีบเจ้านางเกาะหอมเอาไว้คนหนึ่งแล้ว
รักกุ๊กกิ๊ก แถมมีอุปสรรคเป็นพ่อสาวเจ้า
เลยทำท่าว่าจะกลายเป็นรักสามเส้าขมๆ ไปอีกแล้ว
เล่าถึงฝ่ายเจ้านางคำชื่นและเจ้านางเกาะหอม เมื่อคู่หมั้นของตนหายไปนานก็ชักห่วง
เลยขอพ่อออกตามหาชายผู้เป็นที่รัก -*-
สาวๆ ของกฤษณา อโศกสินนี่เป็นยังไงกัน
เอะอะๆ ก็เข้าป่าตามหาผู้ชายเป็นว่าเล่น
สาวๆ แต่ละคนก็ไม่ใช่สาวบ้านป่า สาวมีเชื้อมีพ่อมีแม่ดีๆ กันทั้งนั้น
เจ้านางเกาะหอมยังพอว่า ด้วยว่าหมั้นเอาไว้แล้ว แต่เจ้านางคำชื่นนี่สิ ..
รู้ทั้งรู้ว่าล่าปีมีลูกเมียอยู่แล้ว แถมยังฝ่ายชายก็ไม่ได้รับปากให้สัญญาว่าจะมาขอเสียหน่อย
เฮ้อ .. อ่านแล้วก็ขัดอกขัดใจทุกทีไป
เมื่อสองเจ้านางเดินทางมาถึงเมืองหมอกใหม่ ได้พบเจ้านางเย่คำลูกพี่ลูกน้อง
นางเย่คำจึงรายละเอียดของล่าปีเพิ่มเติมให้สองพี่น้องฟัง ..
ล่าปี แท้จริงคือพี่จายแสงเงาลูกแม่ป้าก้านอี่
แต่งงานไปกับเจ้านางกู่แก้ว หลานเจ้าละผ่อ มีบุตรชื่อล่าวัน
โดบา น้องเขยของล่าปี เป็นทหารเก่าของเจ้าละผ่อ
เจ้าละวี (เจ้าเมืองยางแดงคนใหม่ต่อจากเจ้าละผ่อ) อาจอยากได้ไว้เป็นทหาร
พ่อของล่าปีเป็นเชื้อเครือ (มีเชื้อเจ้า) หมอกใหม่
แม่ของล่าปีเป็นเชื้อเครือเจ้าละผ่อ
แต่งงานไปอยู่ยางแดงกันหลายปีจนพ่อของล่าปีตาย
จึงพาครอบครัวย้ายกลับมากหมอกใหม่
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง คณะของเจ้าน้อยปัญญา เมืองราม
อาบองค์ และจายทั้ง 4 ก็ตรวจหัวเมืองชายแดนมาถึงหมอกใหม่ (พอดี๊) พอดี
ล่าปีพาพี่น้องร่วมสาบานมาพบแม่และน้อง (แสงเงา)
และแล้วทั้งหมดก็ได้พบกัน อาบองค์ได้รู้ว่าภูเออมีสาวหมั้นเอาไว้แล้ว
และเมืองรามก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วภูเออคือเจ้ามาวฟ้า
คือลูกของเจ้าม่อนฟ้า คู่ปรับเก่าแต่หนหลังนั่นแหละ
แต่รู้แล้วก็ตัดฉากไปเฉยเลยนะ ไม่บิ้วท์ ไม่สะพรึง ไม่ไคลแม็กซ์ใดๆ ทั้งสิ้น
นี่หรือคือสิ่งที่ข้าพเจ้าเฝ้ารอมาทั้งเรื่อง -*-
อ่านแล้วไม่รู้สึกเลยว่าภูเออรักใคร อยู่ใกล้ใครก็เหมือนจะรัก
ดูๆ ไปแล้วก็แค่ความหลงเท่านั้น กับเจ้านางเกาะหอม
เพียงแค่มีอุปสรรคนิดหน่อย ก็ตั้งท่าจะยอมแพ้ยันเต
กับอาบองค์ยิ่งแล้วใหญ่ ยังไม่ทันรู้เลยว่ารักหรือเปล่า รักตอนไหน
มีแต่อาบองค์นั่นแหละ ที่เห็นแน่ว่าหลงรักภูเออเข้าให้แล้ว
ตรงกับภาษิต ‘ญิงเป็นฝาย จายเป็นน้ำ’ ที่ในเรื่องยกมานั่นแหละ
หญิงก็เฝ้าแต่รอเรื่อยไป ในขณะที่ชายก็ตระเวนมีเมียไปแต่ละเมือง
แม้จะมีจารีตประเพณีถือเรื่องหลายผัวหลายเมีย
ภูเออนั้นถึงแม้จะไม่ได้ตกลงปลงใจกับนางใดถึงขั้นเป็นเมีย
แต่ได้แค่หยอดขนมจีบบริหารเสน่ห์ก็พอ
อยู่ใกล้เขาก็เหมือนรักเขาจะแย่ พอจากมาก็ลืมหมดสิ้นที่เคยรัก
สรุป! ไม่อิน ไม่เชียร์ตัวละครใดเช่นเคย
อาจจะเชียร์อาบองค์นิดหน่อย ในฐานะที่เคยเชียร์เมืองรามผู้เป็นพ่อมาก่อน
แต่ก็ไม่รู้จะเชียร์ไปให้ได้กับคนอย่างภูเออไปทำไม
คนใจโลเล เดี๋ยวรักคนนั้นเดี๋ยวรักคนนี้
เมื่อจัดการเรื่องในเรือนได้เรียบร้อย
สี่จายก็ถูกตามตัวให้กลับไปทำงานให้ทหารอังกฤษอีกครั้ง
ในครั้งนี้เมืองรามถูกเกณฑ์ให้ติดตามไปทำแผนที่ชายแดน
อาบองค์เองก็ยังไม่เข็ด ขอพ่อตามมาตอกย้ำหัวใจตัวเองอีกครั้ง
ตอนท้ายสองนางพี่น้องก็นั่งช้างไปตามจาย (ชาย) ที่สัญญาว่าจะมาขอ (อีกรอบ)
ส่วนจายผู้ที่ว่า (ภูเออ) ก็กลับตัดสินใจเลือกอาบองค์
ซึ่งก็ต้องไปวัดใจเมืองราม (พญาเมืองราม) ในภายหลัง
เวลาเดียวกันกับที่สองนางเดินทางมา
ภูเออก็กำลังจะออกเดินทางไปยังเชียงใหม่เช่นกัน
เมื่อนางเกาะหอม นางคำชื่น และท้าวขวานแสง บิดา นั่งช้างมาถึงยางแดง
(นำข้าวของมาให้ด้วย ตกลงฝ่ายหญิงสู่ขอฝ่ายชายใช่มั๊ย?)
ท้าวขวานแสงได้พบปะกับปู่ (ขุนต้นแสง) ผู้เป็นถึงเมียวซา
และย่า (เจ้านางนวลคำ) ของภูเออ
ความขึงเครียดที่สองเมืองต่างเคยทำศึกกันมาแต่ครั้งก่อนก็ค่อยสร่างซาลงไป
ผู้ใหญ่ทำท่าจะโอเค แต่ภูเออกลับจะเปลี่ยนใจเสียนี่
เมื่อนางเกาะหอมและคณะกลับไป
เด็กหนุ่มในสังกัดทหารอังกฤษทั้งหลายก็ถูกอังกฤษเรียกตัวอีกครั้ง
ในการเดินทางไปชายแดนสยามครั้งนี้ เจ้าต้นแสงปู่ของภูเออติดตามไปด้วย
ฉากท้ายเรื่องที่เจ้าต้นแสง พ่อของเจ้าม่อนฟ้าเคลียร์ใจกับเมืองราม
รวมทั้งฉากที่ทั้งชาวล้านนาและชาวไต
ต่างเจ็บช้ำน้ำใจที่ตนตกอยู่ภายใต้อำนาจเมืองใหญ่อยู่เสมอนั้น
อธิบายได้เห็นภาพและกินใจมาก
เจ้าเมืองของชาวไตแต่ละเมืองก็มักเกี่ยวดองเป็นญาติไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ
แต่ก็ยังทะเลาะแก่งแย่งอำนาจกันไม่รู้สิ้น ยากที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียว
แม้เมื่อไตใหญ่ถูกอังกฤษยึดครอง ชาวไตเหล่านี้ก็ยังแบ่งฝ่าย
บ้างเข้ากับอังกฤษ บ้างต่อต้าน
แต่ทั้งหมดทั้งมวล ไม่ว่าจะเข้ากับอังกฤษหรือไม่ ก็ไม่มีใครเต็มใจทั้งนั้น
ทุกคนต่างหวัง ต่างรอคอยที่จะถึงวันได้ฟื้นม่าน ฟื้นอิงกะเล็ตกันทั้งนั้น
ความหวังที่รอคอย .. แม้จนทุกวันนี้ก็ยังมาไม่ถึง ..
แต่ชาวไตก็ยังไม่เคยสิ้นหวัง ..
เมื่ออังกฤษรุกล้ำเขตแดนพม่าจนหมดทั้งประเทศ
ก็เริ่มเมียงมองมายังล้านนาอันเป็นเมืองขึ้นของสยาม
จากกรณีพิพาทเรื่องป่าไม้ ก็กลายมาเป็นกรณีพิพาทเรื่องชายแดน
เรื่องราวในเล่มนี้ได้บันทึกประวัติศาสตร์เหตุการณ์
ในกรณีพิพาทเรื่องดินแดน 7 หัวเมืองของไตใหญ่ที่ขึ้นกับสยามในเวลานั้นไว้ด้วย
เป็นบันทึกที่ขืนขม และอึดอัดใจจริงๆ
ท้ายเรื่อง กล่าวถึงบัวฟ้าลูกสาวบัวบุรี กับเมืองสิงห์ลูกชายเมืองรามเอาไว้นิดเดียว
บัวอายุ 16 กำลังจะมีเจ้าเชียงตุงมาขอหมั้น
ส่วนเมืองสิงห์ก็ยังเด็กนัก ท่าทางคู่นี้จะไม่เกี่ยวกัน .. เสียดาย >,<
เป็นตอนจบที่ดี แม้จะไม่ถูกใจเหล่านักอ่าน (ฮา)
ในส่วนของพล็อตโดยรวม เราว่าเรื่องนี้กลมกล่อมลงตัวที่สุดค่ะ
ขุนหอคำ ดำเนินเรื่องช้า เก็บรายระเอียดยิบย่อยครบถ้วน
กว่าจะจบเล่ม เรื่องราวทางประวัติศาสตร์เลยยังไปไม่ถึงไหน
สำนวนสำเนียงภาษาที่ใช้ในเรื่อง เปลี่ยนจากสำเนียงอ่อนหวานแบบล้านนา
มาเป็นภาษาแปลกๆ ของไทยใหญ่สอดแทรกมาในคำพูด
อ่านแล้วแปลกๆ หูดีไปอีกแบบ (มึนมาก)
ในระหว่างเรื่อง มีการแทรกนิทานตำนานไตใหญ่ สนุกๆ แปลกๆ เอาไว้หลายเรื่อง
แต่บางทีก็เยอะมากเกินไป มากจนแทบจะอยากให้แยกไปอีกเล่ม
อ่านเนื้อเรื่องหลักๆ อยู่ เอานิทานมาคั่น แถมเล่าไม่จบ สลับไปเล่าอย่างอื่น
ตัวละครในเรื่องก็เยอะๆ มึนพอแล้ว
ยังมีตัวละครในตำนานอีก แล้วก็ต้องมาจำว่าเล่ากันไว้ถึงไหน -*-
นิทานอ่านสนุกนะ เล่าด้วยภาษาง่ายๆ เรื่องราวแปลกๆ ไม่เคยฟัง
แต่มารวมกันอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่ทำให้ไม่ค่อยได้ตั้งใจอ่านเท่าที่ควร
พอเยอะเข้าเลยชักจะรำคาญแทนที่จะสนุกไปกับมัน
อีกอย่าง ตัวละครพวกนี้ เวลาฟังนิทานก็มักจะพูดคั่นว่า
“โอ้โห สนุกจัง สนุกจังเลย” เป็นระยะตลอดเรื่อง ไม่เป็นธรรมชาติมากๆ
คือเวลาเราฟังอะไรสนุกๆ ในชีวิตจริงนี่
เราจะตั้งใจจดจ่อมากกว่ามาคอยขัดคนเล่าว่า ‘สนุกจัง สนุกจัง’ มั๊ย?
แถมตัวละครอินเวอร์ บางทีก็ไม่เห็นถึงตอนสนุกตรงไหนเลยก็พูด
พูดเกือบทั้งเรื่อง (นิทาน) ขัดจังหวะการอ่านมาก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ท้ายที่สุดก็จบนิยายซีรี่ส์เซ็ต 3 เล่มหนาๆ จากล้านนาชุดนี้เสียที
ภาษาล้านนามาทีละเล่มนี่โอเคค่ะ
แต่พอรวมทั้งล้านนา ทั้งไตใหญ่ รวมทั้งชื่อตัวละครอภิมหาศาล
มาเป็นคอมโบ้เซ็ตรวดเดียว ทำเอามึนพอสมควร
ใครอยากอ่าน แนะนำค่อยๆ อ่าน ใช้เวลายาวๆ ค่อยๆ ย่อยนะคะ
อย่าหักโหม อย่าหักโหม >,<
Comments are closed.